Tuesday, November 1, 2011

7 แบบ ความฉลาด

หลังจากอ่านบทความนี้จบแล้ว 
เราจะไปว่าเขาฉลาด หรือ ไม่ฉลาด
ไม่ได้แล้ว
เพราะต่างคน
ต่างฉลาดในเรื่องที่ต่างกัน

เราจะเห็นว่าบางคนก่งเรื่องเรียน
แต่ไม่เก่งเรื่อง สังคม
ไรงี่
บางคนไม่มาเรียน มาก็สาย ไร้ความรับผิดชอบ
แต่ไหงได้ คะแนนเยอะกว่าเรา
ที่มาเรียนทุกวัน มาเช้า 
ทำงานส่งตลอด (แอบแค้นๆ ๕๕)




คนฉลาดจะทำงานได้ดีกว่าคนฉลาดน้อยหรือไม่???
   คำตอบ คือไม่แน่   ขึ้นอยู่กับคำจำกัดความของคำว่า ฉลาด  ถ้าหมายถึงงงการความสามารถในการวิเคราะห์ปัญหาที่ซับซ้อน คำตอบอาจจะใช่
คนฉลาดกว่าจะสามารถเรียนรู้สิ่งต่างๆ ได้เร็วกว่าคนที่ฉลาดหรือไม่??
  คำตอบ คือ ใช่    คนฉลาดเรียนรู้งานได้เร็วกว่า จะมีโอกาสทำงานสำเร็จได้สูงกว่า



เฮาวาร์ด การ์ดเนอร์ นักจิตวิทยาชาวอเมริกันเสนอความคิดหนึ่ง เขาบอกว่าความฉลาดของมนุษย์นั้นมีอยู่ 7 อย่าง
คุณการ์ดเนอร์แกเชื่อว่ามนุษย์มีความฉลาดที่มีมาแต่กำเนิดไม่เท่ากัน บางคนมีความฉลาดอย่างหนึ่งมากกว่าอย่างหนึ่ง บางคนอาจมีความฉลาดหลายอย่างอยู่ในตัว และถ้ายิ่งได้ฝึกฝนมากขึ้นความฉลาดอันนั้นก็จะยิ่งสูงขึ้นไปอีก
แล้วถามว่าสำหรับคนที่ไม่มีเลยจะฝึกให้มีขึ้นได้ไหม ผมว่าได้ ผมมองว่าความฉลาดของคนฝึกฝนกันได้ แต่จะได้มากหรือน้อยก็ต้องย่อมขึ้นอยู่กับปัจจัยอีกมากมาย และคงต้องยอมรับว่าแต่ละคนย่อมได้ผลจากการฝึกไม่เท่ากัน
เป็นความจริงทีเดียวที่เด็กทุกคนเปรียบเหมือนผ้าขาว แต่ผ้าขาวย่อมมีหลายเนื้อ และผ้าแต่ละเนื้อก็ย่อมดูดซึมสีแต่ละชนิดได้แตกต่างกัน ผ้าบางอย่างย่อมเหมาะกับสีบางอย่าง
ผมมีคนอยู่เจ็ดคนจะแนะนำให้รู้จัก เป็นคนฉลาดที่ทฤษฎีของนายการ์ดเนอร์พูดถึงนั่นแหละครับ

คนแรกเขาชื่อ คณิต ครับ เด็กหนุ่มคนนี้เป็นภาพของคนฉลาดอย่างที่คนทั่วไปนึกถึงก่อนเป็นลำดับแรก เขาเก่งวิทยาศาสตร์ สอบเลขได้คะแนนดีเสมอ มุมมองของเขาต่อสรรพสิ่งเป็นตรรกะ เขาเชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่างมีเหตุมีผล ปรากฏการณ์ทุกอย่างในจักรวาลต้องอธิบายได้ด้วยตรรกวิทยา
ในทางจิตวิทยาเรียกความฉลาดแบบนี้ว่า Logical & Mathematical Intelligence หรือ ความฉลาดด้านตรรกะและคณิตศาสตร์ คนฉลาดแบบนี้สมัยกรีกโบราณเขาเรียกว่าปราชญ์ครับ


คนที่สองชื่อ รจนา เธอคล่องถึงสามภาษา และกำลังวางแผนที่จะเรียนอีกภาษาหนึ่งอยู่ ใครๆ ก็มักบอกว่าเธอเขียนโคลงกลอนได้อย่างกับมืออาชีพ ตอนเป็นนักเรียนเธอเข้าใจความหมายของเสียงในคำได้ทันทีที่ครูพูดถึง เพื่อนหลายคนต้องให้เธอติวเรื่องเสียงเอก โท ตรี ที่เธอก็ไม่เข้าใจว่ามันยากตรงไหน ตอนอยู่มหาวิทยาลัยเธอร่วมอยู่ในชมรมโต้วาทีโดยเป็นประธานชมรมถึงสองสมัย
เธอมีความฉลาดที่เรียกกันว่า ความฉลาดด้านภาษา หรือLinguistic Intelligence อย่างเต็มเปี่ยม


คนที่สามคนเป็นช่างไม้ครับ ผมเรียกแกว่าน้า ทรง น้าทรงแกเป็นผอมๆ ดูไม่ค่อยมีเรี่ยวแรงเท่าไร ยังนึกแปลกใจอยู่เลยว่าแล้วแกจะมีแรงเลื่อยไม้ไหวหรือ
น้าทรงเป็นหัวหน้าช่างครับ แต่ผมว่าแกฉลาดเหลือเกิน แกเข้าใจรูปทรงสามมิติได้อย่างไม่น่าเชื่อ รูปทรงยากๆ แค่ไหน อธิบายให้แกฟังแกก็เข้าไม้ได้ไร้ที่ติ การกะระยะยิ่งไม่ต้องพูดถึงแทบจะไม่ต้องใช้เทปวัดเลย ว่างๆ ผมเห็นแกนั่งวาดรูปเล่น เส้นสายไม่เลวเลยครับ ถ้าได้ร่ำเรียนเสียหน่อย แกก็น่าจะไปได้ดี นี่ถ้าแกเกิดในครอบครัวที่ส่งเสียแกเรียนได้ผมว่าแกคงเลือกเรียนจิตรกรรมหรือสถาปัตย์ เป็นแน่
คุณการ์ดเนอร์ แกเรียกคนที่มีความสามารถในการกะระยะทาง การเข้าใจรูปทรง การมองเห็นเป็นสามมิติ ความชำนาญในการใช้สี เส้น ที่ว่าง และสร้างความสัมพันธ์ให้กับมันได้ว่าเป็นคนที่มี ความฉลาดด้านมิติ หรือSpatial Intelligence ความฉลาดด้านมิตินี่รวมไปถึงความชำนาญเรื่องทิศทางด้วยนะครับ
คนที่สี่คนนี้เป็นนักกีฬาสมัครเล่นครับ ถึงจะดูจากรูปร่างแล้วเขาก็ไม่ได้มีร่างกายล่ำสันอะไร แต่กีฬาแทบทุกชนิดเขาเล่นได้ดีเหมือนกับว่าอุปกรณ์กีฬาที่เล่นอยู่เป็นส่วนหนึ่งของร่างกายเขาเองเลย ชื่อ อินทรีย์ ครับคนนี้ เคยแปลกใจบ้างไหมครับเวลาที่เราเห็นคนบางคนเล่นกีฬาอะไรก็ดีไปหมดเสียทุกอย่าง
ไมเคิล จอร์แดน เป็นตัวอย่างที่เห็นได้ชัด ทั้งบาสเกตบอล เบสบอล หรือแม้แต่กอล์ฟ เขาเล่นได้ดีอย่างน่าอัศจรรย์ เขาทราย แกแล็คซี่ ของเรานี่ก็ใช่ครับ นอกจากทำให้คนทั้งโลกยอมรับไปแล้วว่าไม่มีใครที่น้ำหนักตัวเท่าเขาล้มเขาบนสังเวียนได้ ผมยังเคยเห็นเขายิงหนังสติ๊กออกทีวีโชว์ความแม่นยำที่ต้องบอกว่าแม่นเอามากๆ และก็ยังเคยได้ยินมาอีกว่าชั้นเชิงสนุกเกอร์กับฝีมือตะกร้อของเขาก็ไม่เบาทีเดียว
ไอ้ครั้นจะบอกว่าคนพวกนี้มีกล้ามเนื้อใหญ่กว่าคนอื่นก็คงไม่ใช่ เพราะกล้ามเนื้อคนเรานี่มันเพาะกันได้ แล้วผมก็ว่านักกล้ามกับนักกีฬานี่มันก็ไม่เกี่ยวกัน

นักจิตวิทยาอเมริกันท่านนี้มองว่า ความสามารถในการใช้ร่างกายของคนเราก็เป็นความฉลาดอย่างหนึ่ง ความแคล่วคล่อง ความยืดหยุ่น หรือแม้แต่จังหวะจะโคน ล้วนเป็นความฉลาดของกล้ามเนื้อทั้งสิ้น
พวกนักเล่นกลหรือนักกายกรรมนี่ก็ใช่นะครับ พวกใช้มือประดิษฐ์สิ่งของเก่งๆ นี่ก็ใช่เหมือนกัน รวมไปถึงพวกพ่อครัวที่โยนแป้งได้สูงๆ แล้วรับได้ พวกโยนผักบุ้งลอยฟ้า คนที่ใช้มือได้คล่องๆ อย่างนี้ล้วนมีความฉลาดเหมือนที่นายอินทรีย์มี เป็นความฉลาดที่เรียกว่า ความฉลาดด้านร่างกาย หรือ Bodily Intelligence นั่นเอง

คนต่อมาชื่อลุง สำเนียง ครับ เครื่องดนตรีในวงปี่พาทย์ทั้งวงนี่คุณลุงแกเล่นได้หมดเลยโน้ตสักตัวก็ไม่รู้ แต่แต่งเพลงมาไม่รู้กี่เพลงแล้ว พูดง่ายๆ คุณลุงแกมี Musical Intelligence หรือ ความฉลาดด้านดนตรี มาตั้งแต่เกิด
ใครร้องเพลงเพี้ยนขึ้นมาไม่ถึงสามคำแกก็เคาะหัวได้เลย เรื่องจังหวะนี่ยิ่งไม่ต้องพูดถึง อย่างแกนี่ต้องเรียกว่าชีพจรเพลงมากกว่าจังหวะเพลง คิดดูก็แล้วกันเล่นเพลงอยู่ดีๆ เกิดสัปหงกหลับไป สะดุ้งตื่นขึ้นมายังเดี่ยวระนาดเข้ากับวงได้ทันทีไม่มีคร่อม พวกนักเต้นรำที่คล่องจังหวะมากๆ นี่ก็ถือว่ามีความฉลาดด้านดนตรีเหมือนกัน ต่อให้จังหวะซอยถี่แค่ไหนก็ยังย่ำเท้าได้ไม่มีผิด
คนที่หกเขาชื่อ สัมพันธ์ เคยเห็นคนแบบนี้บ้างไหมครับ คนที่ไปอยู่ที่ไหนใครก็รัก ไม่เป็นพิษเป็นภัยกับใคร
และดูเหมือนจะเป็นคนที่เข้าใจความรู้สึกและเจตนาของคนอื่นได้ดีเป็นพิเศษ เป็นคนที่รู้ถึงความเหมาะเจาะของสัมพันธภาพของมนุษย์ ไม่มีขาดไม่มีเกิน
ความสามารถแบบนี้คุณการ์ดเนอร์แกก็ถือเป็นความฉลาดอย่างหนึ่ง เขาเรียกว่า ความฉลาดด้านมนุษยสัมพันธ์ หรือ Interparsonal Intelligence
คนสุดท้ายชื่อแปลกหน่อยนะครับเขาชื่อ อัตตา จิตแพทย์ส่วนใหญ่ลงความเห็นกันว่าปัญหาสุขภาพจิตของผู้คนทุกวันนี้ล้วนแล้วมาจากการที่ไม่มีใครทำตัวเหมือนคุณอัตตาคนนี้ แล้วคุณอัตตาฉลาดตรงไหนหรือ?
คุณอัตตาเป็นคนที่นับถือตัวเองอย่างมาก แต่ในขณะเดียวกันเขาก็รู้จุดอ่อนตัวเองรู้ความปรารถนาและรู้อารมณ์ของตัวเอง ที่สำคัญที่สุดเขารู้ด้วยว่าจะจัดการกับอารมณ์ของตัวเองตรงนั้นอย่างไร
เราเรียกความฉลาดของคุณอัตตาว่า ความฉลาดด้านเข้าใจตนเอง หรือ Intrapersonal Intelligence หลายคนรู้จักกันดีในชื่อของ EQ หรือ ความฉลาดทางอารมณ์ นั่นเอง ซึ่งความฉลาดอันสุดท้ายนี่แหละครับที่นักจิตวิทยาทั้งโลกกำลังส่งเสริมให้ฝึกฝนกัน เพราะมันทำให้มนุษย์ประสบความสำเร็จมากขึ้น
แต่เราต้องเห็นตรงกันก่อนว่าความสำเร็จในชีวิตมนุษย์คือความพอใจในความสุขตามอัตภาพ ไม่ใช่เงินทองยศฐาฯ
มนุษย์ทุกคนมีความฉลาดใน 7 ด้านนี้มาแต่อ้อนแต่ออก แต่อาจจะมีมากน้อยไม่เท่ากัน บางคนอาจมีทั้งเจ็ดด้านเฉลี่ยๆ ไป แต่บางคนอาจมีด้านเดียวโด่งไปเลย การฝึกฝนเป็นหินก้อนสำคัญที่จะลับมีดทั้งเจ็ดเล่มนี้ให้คมยิ่งขึ้น
หาให้พบนะครับ คนเจ็ดคนที่ผมแนะนำให้รู้จัก ถูกคอกับคนไหนก็อย่าลืมสนิทกับเขาให้มากๆ เขาอยู่ในตัวพวกเราทุกคนนั่นแหละ
ที่มา หนังสือพิมพ์มติชน”คอลัมน์คุยกับประภาส”   และ yenta4.com และ Unigang.com

No comments:

Post a Comment