Tuesday, November 8, 2011

10 อันดับสุดยอดของมหาวิทยาลัยราชภัฏทั่วประเทศ

จะพิจารณาจากด้านต่างๆ ได้แก่ ด้านคุณภาพการสอน จำนวนนักเรียนและอาจารย์ บรรยากาศ สภาพแวดล้อม ความทันสมัยและเพียงพอของอุปกรณ์ หลักสูตรการเรียน กิจกรรม การสนับสนุน ความสะดวกการใช้บริการต่างๆ ทุนการศึกษา ความคุ้มค่าและประโยชน์กับค่าลงทะเบียน ผลงานวิจัย ความเชื่อมั่น ชื่อเสียง การยอมรับจากองค์กรต่างๆ
10  มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม

มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม พ.ศ. 2479 เริ่มตั้งเป็น “โรงเรียนสตรีฝึกหัดครูนครปฐม” โดยใช้ตึกหอทะเบียนมณฑลนครชัยศรี ซึ่งตั้งอยู่ ณ เลขที่ 86 ถนนเทศา ตำบลพระปฐมเจดีย์ อำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม รับเฉพาะนักเรียนหญิง เปิดสอนชั้นฝึกหัดครูประชาบาล
9 มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร

มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครได้รับการสถาปนาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวในนาม "โรงเรียนฝึกหัดอาจารย์" สังกัดกระทรวงธรรมการ ทำหน้าที่ผลิตครูเพื่อรองรับการขยายตัวของการจัดการศึกษาในระบบโรงเรียน เปิดทำการสอนเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2435 เป็นสถานศึกษาด้านการฝึกหัดครูแห่งแรกของประเทศไทยมีมิสเตอร์กรีนรอด ชาวอังกฤษเป็นอาจารย์ใหญ่คนเแรก โดยมีที่ตั้งครั้งแรกอยู่ในบริเวณโรงเลี้ยงเด็ก ตำบลสวนมะลิ ถนนบำรุงเมือง จากนั้นก็ได้ย้ายไปสถานที่ตั้งไปอีกหลายแห่ง

8 มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์

มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ตั้งอยู่เลขที่ 439 ถนนจิระ ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ เยื้องศาลากลางจังหวัดบุรีรัมย์ บนเนื้อที่ 297 ไร่ 1 งาน 27 ตารางวา เดิมที่ดินแปลงนี้กองทัพอากาศใช้เป็นสนามบิน เมื่อเลิกใช้แล้วกองทัพอากาศก็ยกที่ดินส่วนทางด้านทิศตะวันตกให้หน่วย ปฏิบัติการพิเศษตำรวจภูธรจังหวัดบุรีรัมย์และสำนักเร่งรัดพัฒนาชนบท บุรีรัมย์ ส่วนด้านทิศตะวันออกได้มอบให้จังหวัดบุรีรัมย์เพื่อเป็นสถานที่ตั้งของ วิทยาลัยครูบุรีรัมย์



7 มหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรี

มหาวิทยาลัย ราชภัฏเทพสตรี เป็นสถาบันอุดมศึกษาที่เริ่มก่อตั้งจากโรงเรียน ลวะศรีในปีพ.ศ. 2463 และพัฒนาเป็นมหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรีในปีพ.ศ.2547



6 มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฏร์ธานี

มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฏร์ธานี ในปี พ.ศ. 2516 ได้มีการจัดตั้ง "วิทยาลัยครูสุราษฎร์ธานี" โดยเปิดสอนในสาขาวิชาครุศาสตร์ หลังจากนั้น พ.ศ. 2528 ได้เพิ่มการเรียนการสอนในสาขาอื่น ๆ นอกจากครุศาสตร์ และได้รวมกับกลุ่มวิทยาลัยครูทางภาคใต้ 5 แห่ง จัดตั้ง "สหวิทยาลัยทักษิณ" โดยมีสำนักงานของสหวิทยาลัยครูอยู่ที่วิทยาลัยครูสุราษฎร์ธานี ต่อมา ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2535 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานนาม “สถาบันราชภัฏ” แทนชื่อ "วิทยาลัยครู" มีผลให้ "วิทยาลัยครูสุราษฎร์ธานี" เปลี่ยนชื่อเป็น"สถาบันราชภัฏสุราษฎร์ธานี" และยกฐานะเป็น "มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี" ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2547 เป็นต้นมา



5 มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม

มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม มีประวัติค่อนข้างยาวนับตั้งแต่ปีพุทธศักราช 2464 รัฐบาลได้ประกาศใช้พระราชบัญญัติประถมศึกษาเปิดโอกาสให้ประชาชนทุกคนได้ เรียนหนังสือ ความต้องการครูเพิ่มขึ้น มณฑล พิษณุโลก จึงผลิตครูโดย เพิ่มหลักสูตรวิชาชีพครูขึ้นในโรงเรียนประจำมณฑลพิษณุโลก “พิษณุโลกพิทยาคม” ในชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 และมัธยมศึกษาปีที่ 6เมื่อสำเร็จ แล้ว ทางราชการจะบรรจุให้เข้ารับราชการครูทันทีได้รับวุฒิประกาศนียบัตรประโยคครู มูล




4 มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม

มหาวิทยาลัย ราชภัฏจันทรเกษมได้ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2483 เดิมเป็น โรงเรียนฝึกหัดครูมัธยม แห่งแรกของประเทศไทย เพื่อรองรับการผลิตครูระดับประกาศนียบัตรประโยคครูมัธยม (ป.ม.) ตั้งอยู่ในเขตวัง จันทรเกษม บนถนนราชดำเนิน และได้ยกฐานะเป็นวิทยาลัยครู ตามประกาศของกระทรวงศึกษาธิการ เมื่อปี พ.ศ. 2501 ปรับการเรียนการสอนจากประกาศนียบัตรวิชาการศึกษาชั้นสูง ได้ย้ายจากสถานที่ตั้งเดิมมาอยู่ที่ซอยสังขะวัฒนะ 2 (ซอยลาดพร้าว 23) ถนนรัชดาภิเษก ซึ่งเป็นที่ตั้งปัจจุบัน และใช้ชื่อว่า “วิทยาลัยครูจันทรเกษม” ในปี พ.ศ. 2534 ได้รับรางวัลพระราชทานสถาบันการศึกษาดีเด่นระดับอุดมศึกษา จากกระทรวง ศึกษาธิการ เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2535 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ได้พระราชทานนามใหม่เป็น “สถาบันราชภัฏจันทรเกษม” ต่อมาได้รับการสถาปนาเป็น “มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม” เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2547 ปัจจุบัน มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม เป็นสถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษา เปิดสอนในระดับปริญญาตรี ภาคในเวลาราชการและนอกเวลาราชการ และเปิดสอนในระดับบัณฑิตศึกษาทั้งปริญญาโท และปริญญาเอก เน้นการผลิตบัณฑิต ที่มีคุณลักษณะตรงตามความต้องการของสังคมในทุกสถานการณ์ คณาจารย์และบุคลากรมีการพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนมีการจัดการเรียนการสอน การพัฒนาเทคโนโลยีและระบบสารสนเทศ ให้เป็นมหาวิทยาลัยที่มีมาตรฐานสากล ได้รับการยอมรับจากสังคมอย่างภาคภูมิ

 


3 มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่

มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ ได้พัฒนามาจากโรงเรียนฝึกหัดครูกสิกรรมประจำมณฑลพายัพ ซึ่งสถาปนาขึ้นเมื่อ พ.ศ.2467 โดยได้มีการพัฒนาและปรับเปลี่ยน สถาบันมาโดยลำดับ เป็นระยะเวลากว่า 74 ปี
 



2 มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา

มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา เดิมในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว สวนสุนันทา ได้เป็นที่ประทับของพระมเหสี พระราชธิดาและเจ้าจอมมารดาในพระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จำนวน 32 ตำหนัก รวมทั้งอาคารที่พักของบรรดาข้าราชบริพาร โดยมีพระวิมาดาเธอ กรมพระสุทธาสินีนาฎ ปิยมหาราชปดิวรัดา ประทับ ณ ตำหนักสายสุทธานพดล ตั้งแต่ พ.ศ. 2467 ปัจจุบันมีสภาพใกล้เคียงกับของเดิมมากที่สุดอยู่ 6 ตำหนัก เนื่องจากมีผู้นำบุตรีและหลานของตน มาถวายตัวต่อพระวิมาดาเธอกรมพระสุทธาสินีนาฎปิยมหาราชปดิวรัดาเป็นจำนวนมาก พระวิมาดาเธอฯ จึงทรงให้สร้างโรงเรียนนิภาคารสอนตามหลักสูตรการศึกษาสมัยนั้น รวมทั้งอบรมมารยาทและการฝีมือด้วยดำเนินกิจการไปโดยปริยาย พ.ศ. 2480 ในรัชกาลพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล คณะผู้สำเร็จราชการแทน พระองค์ดำริที่จะให้เป็นที่พักอาศัยของนายกรัฐมนตรีคณะรัฐมนตรี และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แต่คณะรัฐมนตรีลงมติให้ใช้สถานที่นี้ให้เป็นประโยชน์ทางการศึกษา ของรัฐกระทรวงธรรมการจึงได้จัดตั้งให้เป็นสถานศึกษาสำหรับกุลสตรี ชื่อโรงเรียนสวนสุนันทาวิทยาลัย เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2480 ตั้งแต่วันนั้นจนถึงปัจจุบัน


 

1 มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต

ประวัติมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต กว่า 60 ปีมาแล้วที่ “โรงเรียนการเรือน” ได้ถือกำเนิดขึ้นโดยราชดำริของเจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี ซึ่งเป็นโรงเรียนที่ได้ตระเตรียมความชำนาญให้แก่สตรีในยุคนั้น และในขณะเดียวกัน ก็เตรียมให้พวกเธอได้นำความรู้มาใช้ในการสอนด้วย หลายพันครอบครัวมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ก็เนื่องมาจากการมาเรียนที่โรงเรียนการเรือนแห่งนี้ นักศึกษาและคณาจารย์ทุกท่านภูมิใจในความสำเร็จที่ผ่านมา จากโรงเรียนการเรือนในสมัยนั้น ซึ่งได้พัฒนาการศึกษาเรื่อยมา จนเป็น “วิทยาลัยครูสวนดุสิต” และจึงมาเป็น “สถาบันราชภัฎสวนดุสิต” ใน ปัจจุบัน อนุบาลละอออุทิศ เป็นโรงเรียนอนุบาลแห่งแรกของประเทศไทย ที่เปิดสอนมาแล้วกว่า 50 ปี และเป็นโรงเรียนที่รับเด็กการศึกษาพิเศษ (เด็กที่มีความพิการทางหู ตา และสมอง) ในระดับอนุบาล เพื่อให้ได้เรียนร่วมกับเด็กปกติทั่วไป (Leaning Disability หรือ L.D.)

 

Credit  http://toptenthailand.com/display.php?id=2089      and      Unigang.com

Monday, November 7, 2011

วันลอยกระทง




วันลอยกระทง เป็นวันสำคัญวันหนึ่งของชาวไทย ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 ตามปฏิทินจันทรคติไทย ตามปฏิทินจันทรคติล้านนา "มักจะ" ตกอยู่ในราวเดือนพฤศจิกายนตามปฏิทินสุริยคติ ประเพณีนี้กำหนดขึ้นเพื่อเป็นการสะเดาะเคราะห์และขอขมาต่อพระแม่คงคา บางหลักฐานเชื่อว่าเป็นการบูชารอยพระพุทธบาทที่ริมฝั่งแม่น้ำนัมทามหานที และบางหลักฐานก็ว่าเป็นการบูชาพระอุปคุตอรหันต์หรือพระมหาสาวก สำหรับประเทศไทยประเพณีลอยกระทงได้กำหนดจัดในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณที่ติดกับแม่น้ำ ลำคลอง หรือ แหล่งน้ำต่าง ๆ ซึ่งแต่ละพื้นที่ก็จะมีเอกลักษณ์ที่น่าสนใจแตกต่างกันไป
ในวันลอยกระทง ผู้คนจะพากันทำ "กระทง" จากวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ ตบแต่งเป็นรูปคล้ายดอกบัวบาน ปักธูปเทียน และนิยมตัดเล็บ เส้นผม หรือใส่เหรียญกษาปณ์ลงไปในกระทง แล้วนำไปลอยในสายน้ำ (ในพื้นที่ติดทะเล ก็นิยมลอยกระทงริมฝั่งทะเล) เชื่อว่าเป็นการลอยเคราะห์ไป นอกจากนี้ยังเชื่อว่าการลอยกระทง เป็นการบูชาและขอขมาพระแม่คงคาด้วย


ประวัติ

เดิมเชื่อกันว่าประเพณีลอยกระทงเริ่มมีมาแต่สมัยสุโขทัย ในรัชสมัยพ่อขุนรามคำแหง โดยมีนางนพมาศหรือท้าวศรีจุฬาลักษณ์ เป็นผู้ประดิษฐ์กระทงขึ้นครั้งแรก โดยแต่เดิมเรียกว่าพิธีจองเปรียง ที่ลอยเทียนประทีป และนางนพมาศได้นำดอกโคทม ซึ่งเป็นดอกบัวที่บานเฉพาะวันเพ็ญเดือนสิบสองมาใช้ใส่เทียนประทีป[ต้องการอ้างอิง] แต่ปัจจุบันมีหลักฐานว่าไม่น่าจะเก่ากว่าสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น โดยอ้างอิงหลักฐานจากภาพจิตรกรรมการสร้างกระทงแบบต่างๆ ในสมัยรัชกาลที่1

ตื่น!'ดาวเคราะห์น้อย'จ่อพุ่งเฉียดโลกอังคารนี้


นาซาเผยว่า ในสัปดาห์นี้ จะมีดาวเคราะห์น้อยโคจรผ่านโลกในระยะที่ใกล้ที่สุดในรอบ 33 ปี แต่ยืนยัน จะไม่มีผลกระทบใดๆ ต่อโลก…
สำนัก ข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 6 พ.ย. ว่า องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ หรือองค์การนาซาของสหรัฐฯ ออกมาประกาศว่า ดาวเคราะห์น้อยชื่อ ’2005 YU55′ ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 400 เมตร จะโคจรมาใกล้โลกมากที่สุดในรอบ 33 ปี ภายในสัปดาห์นี้
นาซาคาด ว่า ดาวเคราะห์น้อยดังกล่าว จะโคจรมาใกล้โลกมากที่สุด ในวันอังคารที่ 8 พ.ย. เวลาประมาณ  23.30 ตามเวลาเชิงพิกัด หรือเท่ากับเวลา 6.30 น. วันพุธของไทย โดยจะมีระยะห่างจากโลก ในจุดที่ใกล้ที่สุด อยู่ที่ 320,000 กิโลเมตร ใกล้กว่าระยะห่างจากโลกไปดวงจันทร์ถึง 60,000 กิโลเมตร
นา ซาระบุว่า การที่ดาวเคราะห์น้อยขนาดใหญ่เคลื่อนตัวผ่านใกล้โลกมากขนาดนี้ ถือว่าเกิดขึ้นครั้งแรก ในรอบ 33 ปี โดยครั้งก่อน เกิดเมื่อปี 1978 และจะไม่มีดาวเคราะห์น้อยใดๆ เข้าใกล้โลกเท่านี้อีก จนถึงปี 2029
ทั้ง นี้ นายเจย์ เมลอช ศาตราจารย์ด้านวิทยาศาสตร์ธรณีวิทยาและอวกาศ จากมหาวิทยาลัยเพอร์ ดิว ออกมายืนยันว่า โลกและดวงจันทร์จะไม่ได้รับผลกระทบใดๆ จากการเข้าใกล้ในครั้งนี้ แต่ถ้าหากชนขึ้นมา แรงปะทะจะทำให้เกิดหลุมบนพื้นโลกขนาด 6.5 กิโลเมตร โดยมีความลึก 520 เมตรเกิดคลื่นสึนามิสูง 20 เมตร และมีพลังทำลายเท่ากับแผ่นดินไหวระดับ 7

ภาพดาวเคราะห์น้อย ’2005 YU55′ จากเรดาร์ดาวเทียม


เฉียดใกล้โลกมากกว่าดวงจันทร์เสียอีก

Credit  ไทยรัฐ and Unigang.com

Tuesday, November 1, 2011

น้องสาวสตีฟ จ็อบส์ เผยคำพูดสุดท้ายก่อนตาย "Oh Wow"

หนังสือพิมพ์ The New York Times ตีพิมพ์บทความสรรเสริญผู้ตาย (eulogy) ของ Mona Simpson น้องสาวแท้ๆ ของสตีฟ จ็อบส์ ซึ่งอยู่ในเหตุการณ์วาระสุดท้ายของเขาด้วย
Mona Simpson เป็นน้องสาวร่วมพ่อแม่เดียวกันกับจ็อบส์ แต่สองคนนี้ได้เจอกันครั้งแรกเมื่อ Mona อายุ 25 ปี เพราะจ็อบส์ถูกยกให้เป็นลูกเลี้ยงคนอื่น ในขณะที่ Mona อยู่กับแม่ที่แต่งงานใหม่ ทั้งสองคนเจอกันเมื่อจ็อบส์เริ่มประสบความสำเร็จในชีวิตแล้ว แต่ก็เข้ากันได้ดี ปัจจุบัน Mona ประกอบอาชีพนักเขียน ผลงานบางเรื่องถูกนำไปแปลงเป็นภาพยนตร์ เช่น Anywhere But Here (ประวัติในวิกิพีเดีย)
Mona พูดถึงจ็อบส์ว่าเป็นคนขยันทำงานมาก และรักครอบครัวมาก เขาไม่ชอบตามเทร็นด์ของสังคม แต่ชอบคบกับคนที่มีอายุไล่เลี่ยกับตัวเขาเอง เขาเคยบอกกับ Mona ว่าถ้าเขาเติบโตมาในแบบอื่น เขาอาจจะเป็นนักคณิตศาสตร์แทน
Mona เปิดเผยว่าสตีฟ จ็อบส์ต้องเปลี่ยนนางพยาบาลถึง 67 คน จนกว่าจะเจอนางพยาบาล 3 คนที่เข้ากับเขาได้ และอยู่กับเขาจนวินาทีสุดท้ายของชีวิต หลังการปลูกถ่ายตับ เขาก็ต้องหัดเดินใหม่อีกครั้ง ซึ่งภรรยาของเขามีส่วนช่วยให้กำลังใจเขามาก
นอกจากนี้ ช่วงที่เขานอนโรงพยาบาล เขาร้องขอสมุดบันทึกและวาดไอเดียต่างๆ ที่อยู่ในหัว ซึ่งมีทั้งอุปกรณ์ที่ช่วยถือ iPad สำหรับคนที่นอนโรงพยาบาล, เครื่องเอ็กซเรย์ดีไซน์ใหม่ และห้องพักคนไข้ที่เขาอยากให้เป็น
Mona เล่าว่าคนในครอบครัวไม่มีใครรู้ว่าวาระสุดท้ายของจ็อบส์จะเกิดขึ้นเมื่อใด วันที่เขาอาการดี เขาจะเรียกคนที่แอปเปิลมาคุยงาน และเดินหน้าโครงการต่อเรือที่เขาทำมานาน โดยมีทีมช่างจากเนเธอร์แลนด์เป็นผู้ช่วย
เช้าวันก่อนวันที่เขาเสียชีวิต เขาโทรหา Mona ให้เธอรีบเดินทางมาที่ Palo Alto เพื่อมาดูใจเขา เมื่อเธอบอกว่ากำลังอยู่ระหว่างทางไปสนามบิน เขาก็บอกลากับเธอ เพราะเกรงว่าเธอจะไปไม่ทัน แต่เมื่อเธอไปถึง เธอก็พบว่าเขายังมีสติดี และใช้เวลาพูดคุยกับเพื่อนของเขาที่แอปเปิลเป็นครั้งสุดท้าย จากนั้นเขาขอโทษ Mona ที่ไม่มีโอกาสแก่เฒ่าไปด้วยกันตามที่สัญญาไว้
หมอบอกว่าเขามีโอกาส 50/50 ที่จะรอดพ้นคืนนั้น ซึ่งเขาผ่านมาได้
ส่วนวาระสุดท้ายของจ็อบส์แวดล้อมด้วยสมาชิกของครอบครัว เขามองดูหน้าญาติสนิท ภรรยา และลูกๆ ก่อนจะพูดประโยคสุดท้ายซ้ำกันสามครั้ง
OH WOW. OH WOW. OH WOW.
ที่มา Blognone.com  และ Unigang.com

7 แบบ ความฉลาด

หลังจากอ่านบทความนี้จบแล้ว 
เราจะไปว่าเขาฉลาด หรือ ไม่ฉลาด
ไม่ได้แล้ว
เพราะต่างคน
ต่างฉลาดในเรื่องที่ต่างกัน

เราจะเห็นว่าบางคนก่งเรื่องเรียน
แต่ไม่เก่งเรื่อง สังคม
ไรงี่
บางคนไม่มาเรียน มาก็สาย ไร้ความรับผิดชอบ
แต่ไหงได้ คะแนนเยอะกว่าเรา
ที่มาเรียนทุกวัน มาเช้า 
ทำงานส่งตลอด (แอบแค้นๆ ๕๕)




คนฉลาดจะทำงานได้ดีกว่าคนฉลาดน้อยหรือไม่???
   คำตอบ คือไม่แน่   ขึ้นอยู่กับคำจำกัดความของคำว่า ฉลาด  ถ้าหมายถึงงงการความสามารถในการวิเคราะห์ปัญหาที่ซับซ้อน คำตอบอาจจะใช่
คนฉลาดกว่าจะสามารถเรียนรู้สิ่งต่างๆ ได้เร็วกว่าคนที่ฉลาดหรือไม่??
  คำตอบ คือ ใช่    คนฉลาดเรียนรู้งานได้เร็วกว่า จะมีโอกาสทำงานสำเร็จได้สูงกว่า



เฮาวาร์ด การ์ดเนอร์ นักจิตวิทยาชาวอเมริกันเสนอความคิดหนึ่ง เขาบอกว่าความฉลาดของมนุษย์นั้นมีอยู่ 7 อย่าง
คุณการ์ดเนอร์แกเชื่อว่ามนุษย์มีความฉลาดที่มีมาแต่กำเนิดไม่เท่ากัน บางคนมีความฉลาดอย่างหนึ่งมากกว่าอย่างหนึ่ง บางคนอาจมีความฉลาดหลายอย่างอยู่ในตัว และถ้ายิ่งได้ฝึกฝนมากขึ้นความฉลาดอันนั้นก็จะยิ่งสูงขึ้นไปอีก
แล้วถามว่าสำหรับคนที่ไม่มีเลยจะฝึกให้มีขึ้นได้ไหม ผมว่าได้ ผมมองว่าความฉลาดของคนฝึกฝนกันได้ แต่จะได้มากหรือน้อยก็ต้องย่อมขึ้นอยู่กับปัจจัยอีกมากมาย และคงต้องยอมรับว่าแต่ละคนย่อมได้ผลจากการฝึกไม่เท่ากัน
เป็นความจริงทีเดียวที่เด็กทุกคนเปรียบเหมือนผ้าขาว แต่ผ้าขาวย่อมมีหลายเนื้อ และผ้าแต่ละเนื้อก็ย่อมดูดซึมสีแต่ละชนิดได้แตกต่างกัน ผ้าบางอย่างย่อมเหมาะกับสีบางอย่าง
ผมมีคนอยู่เจ็ดคนจะแนะนำให้รู้จัก เป็นคนฉลาดที่ทฤษฎีของนายการ์ดเนอร์พูดถึงนั่นแหละครับ

คนแรกเขาชื่อ คณิต ครับ เด็กหนุ่มคนนี้เป็นภาพของคนฉลาดอย่างที่คนทั่วไปนึกถึงก่อนเป็นลำดับแรก เขาเก่งวิทยาศาสตร์ สอบเลขได้คะแนนดีเสมอ มุมมองของเขาต่อสรรพสิ่งเป็นตรรกะ เขาเชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่างมีเหตุมีผล ปรากฏการณ์ทุกอย่างในจักรวาลต้องอธิบายได้ด้วยตรรกวิทยา
ในทางจิตวิทยาเรียกความฉลาดแบบนี้ว่า Logical & Mathematical Intelligence หรือ ความฉลาดด้านตรรกะและคณิตศาสตร์ คนฉลาดแบบนี้สมัยกรีกโบราณเขาเรียกว่าปราชญ์ครับ


คนที่สองชื่อ รจนา เธอคล่องถึงสามภาษา และกำลังวางแผนที่จะเรียนอีกภาษาหนึ่งอยู่ ใครๆ ก็มักบอกว่าเธอเขียนโคลงกลอนได้อย่างกับมืออาชีพ ตอนเป็นนักเรียนเธอเข้าใจความหมายของเสียงในคำได้ทันทีที่ครูพูดถึง เพื่อนหลายคนต้องให้เธอติวเรื่องเสียงเอก โท ตรี ที่เธอก็ไม่เข้าใจว่ามันยากตรงไหน ตอนอยู่มหาวิทยาลัยเธอร่วมอยู่ในชมรมโต้วาทีโดยเป็นประธานชมรมถึงสองสมัย
เธอมีความฉลาดที่เรียกกันว่า ความฉลาดด้านภาษา หรือLinguistic Intelligence อย่างเต็มเปี่ยม


คนที่สามคนเป็นช่างไม้ครับ ผมเรียกแกว่าน้า ทรง น้าทรงแกเป็นผอมๆ ดูไม่ค่อยมีเรี่ยวแรงเท่าไร ยังนึกแปลกใจอยู่เลยว่าแล้วแกจะมีแรงเลื่อยไม้ไหวหรือ
น้าทรงเป็นหัวหน้าช่างครับ แต่ผมว่าแกฉลาดเหลือเกิน แกเข้าใจรูปทรงสามมิติได้อย่างไม่น่าเชื่อ รูปทรงยากๆ แค่ไหน อธิบายให้แกฟังแกก็เข้าไม้ได้ไร้ที่ติ การกะระยะยิ่งไม่ต้องพูดถึงแทบจะไม่ต้องใช้เทปวัดเลย ว่างๆ ผมเห็นแกนั่งวาดรูปเล่น เส้นสายไม่เลวเลยครับ ถ้าได้ร่ำเรียนเสียหน่อย แกก็น่าจะไปได้ดี นี่ถ้าแกเกิดในครอบครัวที่ส่งเสียแกเรียนได้ผมว่าแกคงเลือกเรียนจิตรกรรมหรือสถาปัตย์ เป็นแน่
คุณการ์ดเนอร์ แกเรียกคนที่มีความสามารถในการกะระยะทาง การเข้าใจรูปทรง การมองเห็นเป็นสามมิติ ความชำนาญในการใช้สี เส้น ที่ว่าง และสร้างความสัมพันธ์ให้กับมันได้ว่าเป็นคนที่มี ความฉลาดด้านมิติ หรือSpatial Intelligence ความฉลาดด้านมิตินี่รวมไปถึงความชำนาญเรื่องทิศทางด้วยนะครับ
คนที่สี่คนนี้เป็นนักกีฬาสมัครเล่นครับ ถึงจะดูจากรูปร่างแล้วเขาก็ไม่ได้มีร่างกายล่ำสันอะไร แต่กีฬาแทบทุกชนิดเขาเล่นได้ดีเหมือนกับว่าอุปกรณ์กีฬาที่เล่นอยู่เป็นส่วนหนึ่งของร่างกายเขาเองเลย ชื่อ อินทรีย์ ครับคนนี้ เคยแปลกใจบ้างไหมครับเวลาที่เราเห็นคนบางคนเล่นกีฬาอะไรก็ดีไปหมดเสียทุกอย่าง
ไมเคิล จอร์แดน เป็นตัวอย่างที่เห็นได้ชัด ทั้งบาสเกตบอล เบสบอล หรือแม้แต่กอล์ฟ เขาเล่นได้ดีอย่างน่าอัศจรรย์ เขาทราย แกแล็คซี่ ของเรานี่ก็ใช่ครับ นอกจากทำให้คนทั้งโลกยอมรับไปแล้วว่าไม่มีใครที่น้ำหนักตัวเท่าเขาล้มเขาบนสังเวียนได้ ผมยังเคยเห็นเขายิงหนังสติ๊กออกทีวีโชว์ความแม่นยำที่ต้องบอกว่าแม่นเอามากๆ และก็ยังเคยได้ยินมาอีกว่าชั้นเชิงสนุกเกอร์กับฝีมือตะกร้อของเขาก็ไม่เบาทีเดียว
ไอ้ครั้นจะบอกว่าคนพวกนี้มีกล้ามเนื้อใหญ่กว่าคนอื่นก็คงไม่ใช่ เพราะกล้ามเนื้อคนเรานี่มันเพาะกันได้ แล้วผมก็ว่านักกล้ามกับนักกีฬานี่มันก็ไม่เกี่ยวกัน

นักจิตวิทยาอเมริกันท่านนี้มองว่า ความสามารถในการใช้ร่างกายของคนเราก็เป็นความฉลาดอย่างหนึ่ง ความแคล่วคล่อง ความยืดหยุ่น หรือแม้แต่จังหวะจะโคน ล้วนเป็นความฉลาดของกล้ามเนื้อทั้งสิ้น
พวกนักเล่นกลหรือนักกายกรรมนี่ก็ใช่นะครับ พวกใช้มือประดิษฐ์สิ่งของเก่งๆ นี่ก็ใช่เหมือนกัน รวมไปถึงพวกพ่อครัวที่โยนแป้งได้สูงๆ แล้วรับได้ พวกโยนผักบุ้งลอยฟ้า คนที่ใช้มือได้คล่องๆ อย่างนี้ล้วนมีความฉลาดเหมือนที่นายอินทรีย์มี เป็นความฉลาดที่เรียกว่า ความฉลาดด้านร่างกาย หรือ Bodily Intelligence นั่นเอง

คนต่อมาชื่อลุง สำเนียง ครับ เครื่องดนตรีในวงปี่พาทย์ทั้งวงนี่คุณลุงแกเล่นได้หมดเลยโน้ตสักตัวก็ไม่รู้ แต่แต่งเพลงมาไม่รู้กี่เพลงแล้ว พูดง่ายๆ คุณลุงแกมี Musical Intelligence หรือ ความฉลาดด้านดนตรี มาตั้งแต่เกิด
ใครร้องเพลงเพี้ยนขึ้นมาไม่ถึงสามคำแกก็เคาะหัวได้เลย เรื่องจังหวะนี่ยิ่งไม่ต้องพูดถึง อย่างแกนี่ต้องเรียกว่าชีพจรเพลงมากกว่าจังหวะเพลง คิดดูก็แล้วกันเล่นเพลงอยู่ดีๆ เกิดสัปหงกหลับไป สะดุ้งตื่นขึ้นมายังเดี่ยวระนาดเข้ากับวงได้ทันทีไม่มีคร่อม พวกนักเต้นรำที่คล่องจังหวะมากๆ นี่ก็ถือว่ามีความฉลาดด้านดนตรีเหมือนกัน ต่อให้จังหวะซอยถี่แค่ไหนก็ยังย่ำเท้าได้ไม่มีผิด
คนที่หกเขาชื่อ สัมพันธ์ เคยเห็นคนแบบนี้บ้างไหมครับ คนที่ไปอยู่ที่ไหนใครก็รัก ไม่เป็นพิษเป็นภัยกับใคร
และดูเหมือนจะเป็นคนที่เข้าใจความรู้สึกและเจตนาของคนอื่นได้ดีเป็นพิเศษ เป็นคนที่รู้ถึงความเหมาะเจาะของสัมพันธภาพของมนุษย์ ไม่มีขาดไม่มีเกิน
ความสามารถแบบนี้คุณการ์ดเนอร์แกก็ถือเป็นความฉลาดอย่างหนึ่ง เขาเรียกว่า ความฉลาดด้านมนุษยสัมพันธ์ หรือ Interparsonal Intelligence
คนสุดท้ายชื่อแปลกหน่อยนะครับเขาชื่อ อัตตา จิตแพทย์ส่วนใหญ่ลงความเห็นกันว่าปัญหาสุขภาพจิตของผู้คนทุกวันนี้ล้วนแล้วมาจากการที่ไม่มีใครทำตัวเหมือนคุณอัตตาคนนี้ แล้วคุณอัตตาฉลาดตรงไหนหรือ?
คุณอัตตาเป็นคนที่นับถือตัวเองอย่างมาก แต่ในขณะเดียวกันเขาก็รู้จุดอ่อนตัวเองรู้ความปรารถนาและรู้อารมณ์ของตัวเอง ที่สำคัญที่สุดเขารู้ด้วยว่าจะจัดการกับอารมณ์ของตัวเองตรงนั้นอย่างไร
เราเรียกความฉลาดของคุณอัตตาว่า ความฉลาดด้านเข้าใจตนเอง หรือ Intrapersonal Intelligence หลายคนรู้จักกันดีในชื่อของ EQ หรือ ความฉลาดทางอารมณ์ นั่นเอง ซึ่งความฉลาดอันสุดท้ายนี่แหละครับที่นักจิตวิทยาทั้งโลกกำลังส่งเสริมให้ฝึกฝนกัน เพราะมันทำให้มนุษย์ประสบความสำเร็จมากขึ้น
แต่เราต้องเห็นตรงกันก่อนว่าความสำเร็จในชีวิตมนุษย์คือความพอใจในความสุขตามอัตภาพ ไม่ใช่เงินทองยศฐาฯ
มนุษย์ทุกคนมีความฉลาดใน 7 ด้านนี้มาแต่อ้อนแต่ออก แต่อาจจะมีมากน้อยไม่เท่ากัน บางคนอาจมีทั้งเจ็ดด้านเฉลี่ยๆ ไป แต่บางคนอาจมีด้านเดียวโด่งไปเลย การฝึกฝนเป็นหินก้อนสำคัญที่จะลับมีดทั้งเจ็ดเล่มนี้ให้คมยิ่งขึ้น
หาให้พบนะครับ คนเจ็ดคนที่ผมแนะนำให้รู้จัก ถูกคอกับคนไหนก็อย่าลืมสนิทกับเขาให้มากๆ เขาอยู่ในตัวพวกเราทุกคนนั่นแหละ
ที่มา หนังสือพิมพ์มติชน”คอลัมน์คุยกับประภาส”   และ yenta4.com และ Unigang.com

Saturday, October 29, 2011

คราเคน ตำนานที่มีจริง

คราเคนหมึกยักษ์ตัวใหญ่มาก
วันนี้ผมได้รับมอบหมายให้เขียนบทความอีกแล้ว ผมนึกไม่ค่อยออกเลยครับว่าจะเขียนอะไรให้มันตรงกับคอนเซ็ปท์เว็บประหลาดมีสาระแบบนี้ เขียนอะไรแอดมินก็ชอบมาแบนตลอด หัวข้อมีสาระนี่ยากสำหรับผมเกินไป เอาเป็นเรื่องประหลาดยังพอไหว ถ้าใครสงสัยว่าทำไมผมถึงชอบเขียนเรื่องสัตว์ประหลาด ก็เป็นเพราะเหตุผลนี้แหละครับ งั้นวันนี้ผมขอนำเสนอเรื่อง “คราเคน” ก็แล้วกันนะ
คราเคน(Kraken) คือ สัตว์ประหลาดในตำนาน เล่ากันว่ามันมีรูปร่างคล้ายหมึกกระดองขนาดใหญ่มาก มีลำตัวยาวกว่าเสากระโดงเรือ หนวดเยอะยาวยุ่บยั่บ สามารถพันโอบเรือลำใหญ่ได้หลายรอบ มันใช้หนวดที่มีปุ่มดูดขนาดใหญ่โอบรัดคนบนเรือแล้วบีบจนกระดูกแหลกเหลว ก่อนที่จะเอาใส่ปากกลมๆ ขนาดใหญ่ที่มีเขี้ยวคมเหมือนใบมีดเรียงอยู่เต็ม
ตำนานของคราเคนเริ่มต้นขึ้นเมื่อใดไม่ทราบแน่ชัด แต่มีบันทึกเป็นหลักฐานครั้งแรกที่นอร์เวย์ ในหนังสือชื่อ “The Natural History of Norway” นักเดินเรือโดยเฉพาะแถบซีกโลกเหนือหวาดกลัวสัตว์ประหลาดชนิดนี้มาก เพราะในหนังสือบรรยายไว้ว่ามันตัวใหญ่เท่าเกาะขนาดย่อม เฉพาะตัวก็ยาวกว่าครึ่งไมล์ แถมยังปรากฏตัวแบบเงียบเชียบ กว่าจะรู้ตัวหนวดของมันก็เข้าโจมตีเรียบร้อยแล้ว และจมเรือได้ในเวลาเพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น
ในบรรดาสัตว์ประหลาดใต้ท้องทะเลทั้งหมดเท่าที่เคยมีมา คราเคนมีเค้าความจริงมากที่สุด เพราะมีหมึกสายพันธุ์หนึ่ง คือ อาร์คิเทอูธิส(Architeuthis) หรือเรียกง่ายๆ ว่าหมึกยักษ์(Giant Squid) อยู่บนโลกนี้จริง แม้มันจะไม่ได้ตัวใหญ่เท่าเกาะแบบในตำนาน แต่ก็ถือว่าตัวใหญ่มาก มีขนาดพอๆ กับรถประจำทาง หนวดยาว 30-40 เมตร มีปากที่มีฟันคมเป็นจะงอยเหมือนนกแก้ว มีนัยน์ตาขนาดฟุตครึ่ง น้ำหนักรวม 2-3 ตัน สามารถกินคนได้สบายๆ และมันยังมีนิสัยดุร้ายตามธรรมชาติอีกด้วย เพียงแต่ไม่ค่อยมีใครเจอตัวมันบ่อยนัก
จากบันทึกการเผชิญหน้ากับหมึกยักษ์หรือคราเคนแม้จะไม่บ่อยมากแต่ก็นับว่าหลายครั้งอยู่เหมือนกัน
ปี 1878 วันที่ 2 พฤศจิกายน ชาวประมงสามคนในทิมเบิล ทริกเกิล พบซากปลาหมึกขนาดใหญ่อยู่ไม่ห่างจากฝั่งขณะกำลังหาปลา พวกเขาพยายามลากมันเข้าขึ้นฝั่ง แต่ปรากฏว่าหนวดบางส่วนยังคงมีชีวิตเคลื่อนไหวได้อยู่ จึงปล่อยให้มันแห้งตายอยู่บนบกจนแน่ใจว่าไม่เป็นอันตรายแล้วก็ทำการวัดขนาดของมัน ความยาวตลอดตัววัดได้ 20 ฟุต หนวดเส้นที่ยาวที่สุดยาวถึง 35 ฟุต มีเขี้ยวแหลมคมที่ยาวถึง 4 นิ้ว
ปี 1930 เรือบรรทุกน้ำมันขนาด 15,000 ตัน ของนอร์เวย์รายงานการโจมตีของปลาหมึกขนาดใหญ่ถึงสามครั้ง โดยครั้งที่รุนแรงที่สุดแจ้งว่ามันว่ายน้ำตามเรือแล้วพยายามใช้หนวดรัดรอบๆ เรือ แต่ใบพัดฟันหนวดและลำตัว จึงลื่นไหลหนีไป คาดว่าเหตุผลที่มันโจมตีเรือเพราะเรือมีรูปร่างคล้ายปลาวาฬเสปิร์มคู่ปรับของมันนั่นเอง
ปี 1960 เดือนตุลาคม พนักงานของประภาคารแห่งหนึ่งในแอฟริกาใต้สองคน เห็นปลาหมึกและปลาวาฬเสปิร์มต่อสู้กันอย่างสยดสยองกับตา พวกเขารายงานว่าปลาหมึกยักษ์เป็นฝ่ายเข้าโจมตีปลาวาฬ การต่อสู้ดำเนินไปกว่าครึ่งชั่วโมง และจบลงด้วยชัยชนะของปลาหมึกยักษ์
ปี 1965 ลูกเรือล่าปลาวาฬของโซเวียต เห็นปลาหมึกยักษ์ต่อสู้อยู่กับปลาวาฬที่โตเต็มที่ ซึ่งมีขนาดกว่า 40 ตัน ผลคือไม่มีฝ่ายใดชนะ ปลาวาฬตายเพราะแรงรัดของหนวดปลาหมึก ส่วนหัวของปลาหมึกยักษ์ก็ถูกกัดขาดหายไปในท้องปลาวาฬ
เหตุการณ์ที่น่าตกใจที่สุดเกี่ยวกับคราเคนหรือเจ้าหมึกยักษ์เกิดขึ้นเมื่อสงครามโลกครั้งที่สอง ที่มัลดีฟ หมึกยักษ์จมเรือขนาดย่อมของอังกฤษไปสองลำ แล้วจับทหารเรือกินหมด (เรื่องนี้เกิดขึ้นจริงด้วยนะครับ)
ความลึกลับและโหดร้ายของหมึกยักษ์ ทำให้มีการจัดตั้งคณะนักวิทยาศาสตร์เพื่อศึกษาเรื่องของมันอย่างจริงจัง เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 1999 หลังจากกลุ่มนักวิทยาศาสตร์จากสหรัฐฯ และนิวซีแลนด์ทำการวิจัยหมึกยักษ์เป็นเวลา 30 วัน ก็ได้บทสรุปออกมาว่า พวกมันชอบอยู่ในน้ำลึกบริเวณที่มีอุณภูมิต่ำมากๆ และมันชอบไหลไปตามกระแสน้ำ สาเหตุที่ทำให้มันดุร้ายคือ เมื่อมันเกิดไหลไปเจอกระแสน้ำอุ่น การดำรงชีพของมันจะขัดข้อง และจำเป็นต้องลอยอยู่ที่ผิวน้ำเป็นเวลานาน ทำให้เกิดความเครียด สังเกตได้จากบริเวณที่มีผู้พบเห็นหมึกยักษ์โจมตี มักเป็นบริเวณที่กระแสน้ำเย็นและกระแสน้ำอุ่นมาตัดกัน ซึ่งเป็นบริเวณที่หมึกยักษ์หงุดหงิดเพราะปรับตัวไม่ทันนั่นเอง
จบแล้วครับหมึกยักษ์คราเคน คราวหน้าผมจะเอาตัวประหลาดอื่นๆ มาฝากด้วยครับ รอติดตามนะครับ

โลฟครับ
ใครว่างก็แวะไปอ่านที่เว็บนี้ได้นะคะ บทความเยี่ยมยอดทั้งนั้นค่ะ
ขอบคุณที่รับชมค่ะ^^~

 



Credit :  Indepencil.com

William Barley

William Barley (1565?–1614) was an English bookseller and publisher.[1] He completed an apprenticeship as a draper in 1587, but was soon working in the London book trade. As a freeman of the Drapers' Company, he was embroiled in a dispute between it and the Stationers' Company over the rights of drapers to function as publishers and booksellers. He found himself in legal tangles throughout his life.
Barley's role in Elizabethan music publishing has proved to be a contentious issue among scholars.[2] The assessments of him range from "a man of energy, determination, and ambition",[3] to "somewhat remarkable",[4] to "surely to some extent a rather nefarious figure".[5] His contemporaries harshly criticized the quality of two of the first works of music that he published, but he was also influential in his field. After becoming the assignee of the composer and publisher Thomas Morley, Barley publishedAnthony Holborne's Pavans, Galliards, Almains (1599), the first work of music for instruments rather than voices to be printed in England. His partnership with Morley enabled him to claim a right to the music publishing patent that Morley held prior to his death in 1602. Some publishers ignored his claim, however, and many music books printed during his later life gave him no recognition.

ชีวิตคนถูกรางวัลที่ 1

ตามติดชีวิตคนถูกรางวัลที่ 1 พวกเขาเป็นอย่างไรในรอบหลายปี หลายคนเงินหมดเกลี้ยงในเวลาอันสั้น แต่อีกไม่น้อยจัดการเป็นจนลากยาวมาได้จนถึงวันนี้
อาจจะเพราะวัฒนธรรมการเสี่ยงโชคที่เข้มข้นกว่า ทำให้แต่ละงวดที่ออกมา รางวัลใหญ่มักไปตกอยู่ในมือชาวภูธร ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเกษตรกรและคนหาเช้ากินค่ำ บางคนค่อนขอดพวกเขาว่าใช้เงินไม่เป็น แต่บุคคลต่อไปนี้ แม้จะไม่ติดอันดับ "นักจัดการเงินมืออาชีพ" ในโพลล์ไหนๆ แต่พวกเขากลับจัดการเงินล้านที่ได้มาอย่างเรียบง่ายและมีสติ
 
อยู่ดีๆ มี 20 ล้าน
2 ปีที่แล้ว บุญสนอง แก้วบ่อ กลายเป็นเศรษฐีชั่วข้ามคืนหลังถูกล็อตเตอรี่รางวัลที่  1และรางวัลแจ็คพ็อตได้เงินรวมถึง 20 ล้านบาท ชายวัย  52 ปีจากบ้านโคกสี ต.โคกสี อ.เมืองขอนแก่น เดิมมีอาชีพทำการเกษตรทั้งไร่ นา สวนและค้าขายของชำภายในหมู่บ้าน ควบคู่ไปกับการเรียนระดับปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย วิทยาเขตขอนแก่น งานส่วนรวมเจริญก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ แต่งานส่วนตัวกลับขาดทุน ทยอยขายที่ไร่ที่นา เป็นหนี้สินมากมาย แต่ในที่สุด บุญสนองก็กัดฟันเรียนจนจบ และเดินทางเข้ากรุงเทพฯ ไปรับปริญญา ขากลับแวะไหว้พระที่ ต.ศาลายา อ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม ตบท้ายด้วยการเสี่ยงเซียมซี ได้เลข 75-76  เมื่อมีคนตาบอดเดินมาขายลอตเตอรี่ บุญสนองบอกแค่เลขท้ายไป คนขายก็ยื่นมาให้สองคู่ 414875, 414876 ซึ่งใบแรกคือ รางวัลที่ 1 ในงวดถัดมา เท่านั้นยังไม่พอ ลอตเตอรี่ใบอื่นที่ซื้อมาก็ยังไปคว้ารางวัลแจกพอตอีก 16 ล้านบาท รวมๆ กันแล้ว 20 ล้านบาทขาดตัว
  วันนั้น เพื่อนแห่กันมาทั้งหมู่บ้าน ข้าวของเครื่องใช้ที่ซื้อมาไว้ขายกว่า 3 แสนบาท ถูกขอไปจนหมดเกลี้ยง "
จากนั้นก็มีญาติพี่น้องและคนแปลกหน้าเข้ามาหาขอยืมเงินจำนวนมาก แจกให้ญาติไปก็เยอะ ให้คนยืมไปลงทุนก็มีบ้าง แต่ผมก็เอาเงินไปใช้หนี้สินที่กู้ยืมมาจนหมด กับเก็บฝากธนาคารเอาไว้กินดอกเบี้ย บางส่วนก็นำมาลงทุนกับการเกษตร และช่วยเหลือเด็กด้อยโอกาส"   ขณะนี้ ครอบครัวแก้วบ่อสบายขึ้นมาก บุญสนองก็ได้เรียนต่อปริญญาโท และใกล้จะจบแล้ว และเมื่อ 2 สิงหาคม ที่ผ่านมา เขาก็ลงสมัครรับเลือกตั้ง นายกองค์การบริหารส่วนตำบลโคกสี ก็ได้รับชัยชนะ ลูกบ้านเทคะแนนให้อย่างท่วมท้น แม้บางเสียงจะบอกว่า ถูกเลือกเพราะความรวยและคนรวยไม่น่าจะทุจริต  "จากกุศลผลบุญที่ทำดีเพื่อชุมชนมาโดยตลอดทำให้เชื่อว่า ทำดีต้องได้ดีขอเพียงชีวิตเราอย่าท้อ สู้เข้าไว้" เศรษฐีล็อตเตอรี่ บอก
ทุกข์มาเพราะความดัง 
เพราะซื้อสลากกินแบ่งไว้สองใบตามเลขทะเบียนรถของพ่อ จากข้าราชการธรรมดาๆ คนหนึ่งที่ถูกหนี้มะรุมมะตุ้ม ก็หายกลุ้มเป็นปลิดทิ้ง  เป็นชีวิตจริงของ อัจฉรา พลสิทธิ์ เจ้าพนักงานศาลยุติธรรมประจำศาลจังหวัดเดชอุดม อุบลราชธานี อายุ 32 ปี ที่ 3 ปีที่แล้ว ถูกรางวัลที่ 1 จำนวน 1 ใบ ได้เงินรางวัลจำนวน  4,000,000 บาท  สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น อัจฉราบอกว่ามีทั้งสุขและทุกข์ สุขคือคนแห่แสดงความยินดี ส่วนทุกข์คือ "ความดัง" ที่มาพร้อมกับการขอความช่วยเหลือทุกรูปแบบ เธอก็สงเคราะห์ไปบ้าง
 "มีอยู่รายหนึ่งเป็นนักโทษชายอยู่ที่เรือนจำทางภาคเหนือทราบข่าวจากหนังสือพิมพ์ได้เขียนจดหมายมาขอความช่วยเหลือว่าญาติ พี่น้องฐานะยากจนขอเงินมาเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในเรือนจำก็ได้ส่งธนาณัติไปให้" 
 กับตัวเองและครอบครัว สิ่งแรกที่ทำคือ ใช้หนี้ที่มีอยู่จนหมด จากนั้นเอาเงินมาสร้างบ้าน จัดสรรเงินส่วนหนึ่งให้กับญาติพี่น้องกับบุคคลที่เคยช่วยเหลือ ทำบุญ และเปิดบัญชีเงินฝากประจำให้ลูก 2 คน ชีวิตทั่วไป อัจฉราบอกว่าเป็นไปอย่างเรียบง่ายเหมือนปกติ และไม่ฟุ่มเฟือย "ทุกวันนี้มีความสุขแล้ว ไม่เป็นหนี้เป็นสินใคร ครอบครัวอบอุ่น ทำงานอย่างมีความสุข" ชีวิตคนเราคงไม่ต้องการอะไรไปมากกว่านี้แล้ว
ทำงานหนัก ปลูกผักกิน
หลังจากคู่ทุกข์คู่ยากล้มป่วยด้วยโรคหัวใจ พ่อค้าขายผักในตลาดสดบ้านทุ่ง ต.ในเวียง อ.เมือง จ.แพร่ สามีอย่าง อนันต์ จำปาหอม จึงขาดคนช่วยปลูกและช่วยมัดจัดหีบห่อ จำต้องหันเหชีวิตไปเป็นคนรับจ้างขนของในตลาดแทน  กับล้อเข็น 1 คัน เริ่มงานตั้งแต่ตี 1 แลกกับค่าแรงวันละ 200-300 บาท อาจจะพอเลี้ยงครอบครัวได้ไปวันๆ และอาจเป็นเช่นนั้นไปตลอดชีวิต ถ้าวันนั้น 16 เมษายน พ.ศ.2548 เขาไม่เสี่ยงดวงซื้อหวยเลข 119327 และได้เงินรางวัลที่ 1 มา 4 ล้านบาท 
"ผมเอาไปฝากธนาคารเอาไว้ก่อน แล้วค่อยถอนออกมาไปซื้อรถปิกอัพคันใหม่ หกแสนกว่าบาท แทนคันเก่าที่เก่าเต็มที" อนันต์ วัย49 แจกแจงรายรับรายจ่าย  
ไม่ต้องพูดถึงความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ภรรยาที่ป่วยด้วยโรคหัวใจได้รับการรักษาจนกลับมาช่วยงานได้อีกครั้ง แต่คราวนี้เปลี่ยนมาเป็นงานเบาๆ อย่างขายขนม ขายเส้นก๋วยเตี๋ยว ในตลาดแห่งเดิม เริ่มงานตีสอง กว่าจะได้กลับไปนอนก็ 9 โมงเช้า เป็นอย่างนี้ทุกวัน ถึงจะมีเงินล้านไว้กอดอุ่นๆ แต่อนันต์และภรรยาก็ยังไปต้องไปทำงาน และ ปลูกผักไว้กินเอง  
"ชีวิตเหมือนเดิม เปลี่ยนแปลงน้อยมาก แค่เปลี่ยนรถคันใหม่ ผมก็ยังตื่นเข้า ขับรถไปส่งของ เสร็จก็กลับบ้านนอน เงินเก็บไว้บางส่วนสำหรับใช้ในช่วงที่ทำงานไม่ไหว แล้วก็เก็บไว้ให้ลูกชายคนเดียว ใช้เงินทีก็ระมัดระวัง ปลูกผักในบ้านไม่ต้องซื้อเขากิน"
ถามถึงการลงทุนเพิ่มเติม ทำให้เงินงอกเงย?  เจ้าตัวส่ายหน้า ก่อนจะอธิบายว่า เกินความสามารถของตัวเอง และที่สำคัญ...
"ผมคิดว่าครอบครัวมีทุกอย่าง ไม่ต้องการสิ่งไหนอีกแล้ว"  

าวนาเนื้อหอม  
ในปี 2547 ยุคที่หวยบนดินกำลังเฟื่องฟู  ปัน ศรีจอมแจ้ง ชาวนาวัย 59 ปี  ใน อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ เป็นหนึ่งในคนไทยที่เจียดรายได้อันน้อยนิดซื้อหวยเป็นประจำทุกงวด ไม่เคยขาดตกบกพร่อง หวังว่าสักวันจะโชคดีกับเขาบ้าง
 แต่ไม่รู้ว่าทำบุญมาด้วยอะไร วันที่ 1 กรกฎาคม 2547 ลุงปันพกดวงมาเต็มกระเป๋า ถูกรางวัลแจ็กพอตจากหวยบนดินใบละ 20 บาท คว้าเงินรางวัล 25 ล้านบาท  ไปนอนกอดสบายใจ  
หลังชีวิตพลิกผันเพียงข้ามคืน จากชาวนายากจนกลายเป็นเศรษฐี  เรื่องราว มากมายประดังเข้าหาลุงปันอย่างที่ตัวเองไม่เคยคาดคิด แต่ละวันบ้านหลังน้อยที่เคยเงียบเหงากลับคลาคล่ำไปด้วยผู้คน ทั้งที่รู้จักและแปลกหน้า ต่างแวะเวียนมาแสดงความยินดีแฝงด้วยความหวังอย่างลึกๆ       ส่วนบุรุษไปรษณีย์ที่แทบไม่รู้จักบ้านของลุงปัน กลับต้องแวะเวียนนำจดหมายจากทั่วสารทิศมาส่งให้ลุงปันวันละหลายรอบ และจดหมายเหล่านี้ เขียนมาพรรณนาถึงความทุกข์ยาก อยากให้ช่วยปลดหนี้ ช่วยค่ารักษาพยาบาล ขอทุนตั้งตัว ขอค่าเทอม ฯลฯ
แต่ที่เด็ดที่สุดคือจดหมายจากสาวน้อยสาวใหญ่  รวมถึงสาวแก่แม่หม้ายจากทั่วประเทศ ที่เขียนมาบรรยายสรรพคุณพร้อมแนบภาพถ่าย  ขอสมัครเป็น "แม่บ้าน" รวมแล้วไม่น้อยกว่าร้อยฉบับ
...ที่สุดแล้วจดหมายทั้งหมดไม่ถูกตอบกลับแม้แต่ฉบับเดียว   
ล่วงเลยมาแล้วกว่า 5 ปี  ลุงปันพิสูจน์ให้คนอื่นๆ เห็นแล้วว่า คำว่า "สามล้อถูกหวย" ใช้ไม่ได้กับเขา เพราะเขายืนยันว่าถึงจะร่ำรวย แต่ก็ใช้จ่ายอย่างรู้คุณค่ามาโดยตลอด    ลุงปัน แจงการบริหารการเงินตามแบบฉบับชาวนาว่า เงิน 25 ล้านบาท ถูกนำไปใช้หนี้ ธกส. 30,000 บาท ซื้อที่ดินและสร้างบ้านหลังใหม่ทดแทนหลังเก่า 2,000,000  บาท แบ่งให้ลูก 3 คน คนละ 5,000,000 บาท ให้ไปทำทุนค้าขายและเป็นทุนการศึกษาให้หลาน นอกจากนี้ ลุงปันยังแปลงสินทรัพย์เป็นทุนด้วยการซื้อที่นา 4 ไร่ สวนอีกกว่า  20 ไร่ ในหมู่บ้าน พร้อมควักเงินอีก 600,000 บาท ซื้อรถกระบะใช้ขนผลิตผลทางการเกษตรไปขาย ที่เหลือฝากธนาคารเก็บกินดอกเบี้ย     ด้วยวัยและฐานะที่เอื้อต่อการนอนตีพุงสบายๆ แต่ลุงปันยังคงยึดอาชีพกระดูกสันหลังของชาติเหมือนเดิม ต่างก็แต่เขามีความสุขกับการใช้ชีวิตชาวนามากขึ้น เพราะได้ทำนาทำไร่ในที่ของตัวเอง จากเดิมที่ต้องรับจ้างทำนาในที่ดินของคนอื่น 
"กิเลสเป็นสิ่งที่มนุษย์น้อยคนจะหลีกเลี่ยงได้ หลายคนมีมากก็ใช้มาก ใช้กันเพลินจนไม่เหลือ ผมเองก็มีกิเลส แต่โชคดีที่เป็นความอยากได้อยากมีในสิ่งที่จำเป็นกับการดำรงชีวิต ไม่ใช่อยากได้ในความฟุ่มเฟือย ความสุขที่แท้จริงของผมคือความพอเพียง"       
แม้จะร่ำรวยเงินทอง แต่ภารกิจประจำวันของเศรษฐีแจ็กพอตรายนี้ยังเหมือนเดิม ทุกเช้าถึงบ่ายลุงปันจะขลุกตัวในท้องนาท้องไร่ ก่อนที่จะกลับมาพักผ่อนและสนทนากับเพื่อนบ้านในช่วงบ่าย ก่อนจะปั่นจักรยานคู่ใจไปตามถนนในหมู่บ้านตอนแดดร่มลมตก
"มีความสุขทุกครั้งที่มองเห็นทุ่งนา มันเป็นความรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก" 
แม้จะเพียบพร้อมไปด้วยสิ่งที่ต้องการ แต่ลุงปันยอมรับว่า ทุกวันนี้ยังต้องเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์อยู่เป็นประจำ เพราะยังคงมีโทรมาขอความช่วยเหลือบ่อยครั้ง  เมื่อถามว่าวันนี้เงิน 25 ล้านบาท เหลืออยู่เท่าไหร่ กลับมีเพียงรอยยิ้มบนใบหน้ากร้านแดดของชาวนาคนนี้เป็นคำตอบ
'ความลับ' หลักล้าน  
เป็นคนหนึ่งซึ่งนานๆ ทีจะเสี่ยงโชคสักครั้ง และซื้อทีก็ไม่มากมาย แค่ "ครึ่งใบ" ในราคาแค่ 20 บาทเพราะทุนทรัพย์ไม่เอื้อ  แต่ สุพัตรา (สงวนนามสกุล) ก็ยังอุตส่าห์ถูก ได้เงินมา 3 ล้านบาท เมื่อ 7 ปีก่อน
คุณแม่ลูกสองเป็นแม่ค้าขายผลไม้ในจังหวัดเชียงราย ขณะนั้นสามีเสียไปนานแล้ว ตัวเธอเองก็ติดเชื้อเอดส์มาจากสามี ค้าขายผลไม้ก็ไม่ได้เงินมากมายอะไร แค่พอเลี้ยงตัว ไม่เหลือพอสำหรับการรักษาตัวเอง  
"ท้อใจ ชีวิตมันแย่มาก แต่พอได้เงินก้อนนี้มาก ถือว่าโชคดีมาก เหมือนได้ชีวิตใหม่ มีกำลังใจในการมีชีวิตอยู่ขึ้นมาอีกครั้ง" 
ต่างจากคนอื่น พอรู้ว่าตัวเองถูกรางวัล สุพัตรากลับเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ ไม่บอกใครนอกจากลูกและคนสนิทจริงๆ เพราะไม่รู้ว่าถ้าบอกไปจะมีอะไรตามมาบ้าง หลังจากขึ้นเงิน เธอแบ่งฝากธนาคารประจำให้ลูกคนละ 1 ล้านในอัตราดอกเบี้ยพิเศษ เหลือมาเอาไปซ่อมบ้านอีกประมาณ 4 แสนบาท แล้วเอาไปเปิดร้านขายของชำเล็กๆ อีกแสนกว่าบาท แต่เปิดได้เพียงปีกว่าๆ ก็ต้องปิดตัวลง เพราะขายไม่ดี ประกอบกับลูกย้ายที่ไปเรียนอีกจังหวัด แม่ก็เลยแพคกระเป๋าตามไปด้วย
"เงินฝากของลูก เขาต้องอายุครบ 25 ปีก่อนถึงจะเบิกได้ ถึงตอนนั้นคิดว่าตัวเองคงไม่มีชีวิตอยู่แล้ว บอกเขาเสมอว่า เงินก็เหมือนชีวิตแม่ ถ้าเงินหมด ชีวิตแม่ก็หมด"    
สุพัตราคิดเสมอว่าเงินที่ได้มาคือวาสนา และไม่ควรใช้ของมีค่าโดยประมาท ทุกวันนี้สุพัตรายังทำงานหาเช้ากินค่ำด้วยการไปเป็นแม่บ้านในบริษัทเอกชน รับเงินเดือนประมาณ 6,000 บาท 
"กินใช้ก้อนนี้ค่ะ มีเหลือเก็บด้วย เพราะไม่ฟุ่มเฟือย อยู่แบบที่เราเคยอยู่ ไม่ค่อยซื้อไม่ค่อยเที่ยว ลูกๆ เองเวลาอยากได้อะไรเขาก็หาของเขา เราสอนเสมอว่า อยากได้อะไรต้องทำมาหากินเอง อย่ายืมจมูกคนอื่นหายใจ" นานๆ ที แม่ลูกถึงจะออกไปหาของอร่อยนอกบ้านทานกัน ส่วนการรักษาตัวเอง สุพัตราใช้สิทธิประกันสังคม ที่พักบริษัทจัดให้ ทุกวันนี้สุพัตรามีเงินฝากส่วนตัวไว้ให้อุ่นใจประมาณ 4 แสนซึ่งเธอไม่พยายามไปยุ่งกับเงินก้อนนี้ 
"ต้องทำเป็นตัวอย่างให้ลูกเห็น ถ้าเราใช้ ลูกก็ใช้" น้ำเสียงที่ยังสดใสของสุพัตรา
6 ล้าน 'ทุกขลาภ'
ในบรรดาคนที่ได้ลาภ แล้วเป็นทุกข์ คงไม่มีรายไหนหนักหนาสาหัสเท่ากับรายของ ศิษย์ กิจพฤกษ์ วัย 71 ปี ชาวบ้านหัน ต.กุดเค้า อ.มัญจาคีรี จ.ขอนแก่น16 พฤษภาคม พ.ศ.2547 เขาถูกล็อตเตอรี่รางวัลที่ 1 และรางวัลข้างเคียงได้เงินมา  6,138,000 บาท แต่เมื่อนำลอตเตอรี่ไปขึ้นเงิน กลับถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับเนื่องจาก น.ส.รสรินทร์ ศักดิ์ดาราโรจน์ อายุ 22 ปี เจ้าของร้านขายล็อตเตอรี่ในตำบล ไปแจ้งความให้ดำเนินคดีในข้อหาวิ่งราวสลากกินแบ่งรัฐบาล จนเป็นเรื่องขึ้นโรงขึ้นศาล
ระยะเวลาผ่านมา 5 ปีแล้ว เงิน 6.1 ล้านบาทเศษยังนอนนิ่งอยู่ในธนาคาร ไม่มีใครได้ใช้ และแม้ว่าที่ผ่านมา ศาลชั้นต้นจะยกฟ้องในคดีที่ น.ส.รสรินทร์ แจ้งความดำเนินคดีกับนายศิษย์ แต่ทางโจทก์ได้ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์อีก และนัดตัดสินคดีในวันที่ 8 กันยายน 2552  และครั้งนี้น่าจะเป็นวันชี้ขาดคดีว่า เงินที่มีอยู่นั้นจะมีใครได้ใช้หรือไม่ หรือจะต้องสู้กันถึงศาลฎีกา เนื่องจากฝ่ายโจทก์เองมองว่าตัวเองน่าจะเป็นเจ้าของเงินอย่างแท้จริงที่ผ่านมาหลายฝ่ายยังสงสัยอยู่ว่า ทำไมเจ้าของร้านจึงไม่โวยวายและแจ้งตำรวจให้จับตั้งแต่วันแรกที่ล็อตเตอรี่หายไป แต่ทำไมเพิ่งมาโวยวายในวันที่รู้ว่าล็อตเตอรี่ถูกรางวัลที่ 1 

จาก