Tuesday, November 8, 2011

10 อันดับสุดยอดของมหาวิทยาลัยราชภัฏทั่วประเทศ

จะพิจารณาจากด้านต่างๆ ได้แก่ ด้านคุณภาพการสอน จำนวนนักเรียนและอาจารย์ บรรยากาศ สภาพแวดล้อม ความทันสมัยและเพียงพอของอุปกรณ์ หลักสูตรการเรียน กิจกรรม การสนับสนุน ความสะดวกการใช้บริการต่างๆ ทุนการศึกษา ความคุ้มค่าและประโยชน์กับค่าลงทะเบียน ผลงานวิจัย ความเชื่อมั่น ชื่อเสียง การยอมรับจากองค์กรต่างๆ
10  มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม

มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม พ.ศ. 2479 เริ่มตั้งเป็น “โรงเรียนสตรีฝึกหัดครูนครปฐม” โดยใช้ตึกหอทะเบียนมณฑลนครชัยศรี ซึ่งตั้งอยู่ ณ เลขที่ 86 ถนนเทศา ตำบลพระปฐมเจดีย์ อำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม รับเฉพาะนักเรียนหญิง เปิดสอนชั้นฝึกหัดครูประชาบาล
9 มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร

มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครได้รับการสถาปนาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวในนาม "โรงเรียนฝึกหัดอาจารย์" สังกัดกระทรวงธรรมการ ทำหน้าที่ผลิตครูเพื่อรองรับการขยายตัวของการจัดการศึกษาในระบบโรงเรียน เปิดทำการสอนเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2435 เป็นสถานศึกษาด้านการฝึกหัดครูแห่งแรกของประเทศไทยมีมิสเตอร์กรีนรอด ชาวอังกฤษเป็นอาจารย์ใหญ่คนเแรก โดยมีที่ตั้งครั้งแรกอยู่ในบริเวณโรงเลี้ยงเด็ก ตำบลสวนมะลิ ถนนบำรุงเมือง จากนั้นก็ได้ย้ายไปสถานที่ตั้งไปอีกหลายแห่ง

8 มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์

มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ตั้งอยู่เลขที่ 439 ถนนจิระ ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย์ เยื้องศาลากลางจังหวัดบุรีรัมย์ บนเนื้อที่ 297 ไร่ 1 งาน 27 ตารางวา เดิมที่ดินแปลงนี้กองทัพอากาศใช้เป็นสนามบิน เมื่อเลิกใช้แล้วกองทัพอากาศก็ยกที่ดินส่วนทางด้านทิศตะวันตกให้หน่วย ปฏิบัติการพิเศษตำรวจภูธรจังหวัดบุรีรัมย์และสำนักเร่งรัดพัฒนาชนบท บุรีรัมย์ ส่วนด้านทิศตะวันออกได้มอบให้จังหวัดบุรีรัมย์เพื่อเป็นสถานที่ตั้งของ วิทยาลัยครูบุรีรัมย์



7 มหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรี

มหาวิทยาลัย ราชภัฏเทพสตรี เป็นสถาบันอุดมศึกษาที่เริ่มก่อตั้งจากโรงเรียน ลวะศรีในปีพ.ศ. 2463 และพัฒนาเป็นมหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรีในปีพ.ศ.2547



6 มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฏร์ธานี

มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฏร์ธานี ในปี พ.ศ. 2516 ได้มีการจัดตั้ง "วิทยาลัยครูสุราษฎร์ธานี" โดยเปิดสอนในสาขาวิชาครุศาสตร์ หลังจากนั้น พ.ศ. 2528 ได้เพิ่มการเรียนการสอนในสาขาอื่น ๆ นอกจากครุศาสตร์ และได้รวมกับกลุ่มวิทยาลัยครูทางภาคใต้ 5 แห่ง จัดตั้ง "สหวิทยาลัยทักษิณ" โดยมีสำนักงานของสหวิทยาลัยครูอยู่ที่วิทยาลัยครูสุราษฎร์ธานี ต่อมา ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2535 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานนาม “สถาบันราชภัฏ” แทนชื่อ "วิทยาลัยครู" มีผลให้ "วิทยาลัยครูสุราษฎร์ธานี" เปลี่ยนชื่อเป็น"สถาบันราชภัฏสุราษฎร์ธานี" และยกฐานะเป็น "มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี" ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2547 เป็นต้นมา



5 มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม

มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม มีประวัติค่อนข้างยาวนับตั้งแต่ปีพุทธศักราช 2464 รัฐบาลได้ประกาศใช้พระราชบัญญัติประถมศึกษาเปิดโอกาสให้ประชาชนทุกคนได้ เรียนหนังสือ ความต้องการครูเพิ่มขึ้น มณฑล พิษณุโลก จึงผลิตครูโดย เพิ่มหลักสูตรวิชาชีพครูขึ้นในโรงเรียนประจำมณฑลพิษณุโลก “พิษณุโลกพิทยาคม” ในชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 และมัธยมศึกษาปีที่ 6เมื่อสำเร็จ แล้ว ทางราชการจะบรรจุให้เข้ารับราชการครูทันทีได้รับวุฒิประกาศนียบัตรประโยคครู มูล




4 มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม

มหาวิทยาลัย ราชภัฏจันทรเกษมได้ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2483 เดิมเป็น โรงเรียนฝึกหัดครูมัธยม แห่งแรกของประเทศไทย เพื่อรองรับการผลิตครูระดับประกาศนียบัตรประโยคครูมัธยม (ป.ม.) ตั้งอยู่ในเขตวัง จันทรเกษม บนถนนราชดำเนิน และได้ยกฐานะเป็นวิทยาลัยครู ตามประกาศของกระทรวงศึกษาธิการ เมื่อปี พ.ศ. 2501 ปรับการเรียนการสอนจากประกาศนียบัตรวิชาการศึกษาชั้นสูง ได้ย้ายจากสถานที่ตั้งเดิมมาอยู่ที่ซอยสังขะวัฒนะ 2 (ซอยลาดพร้าว 23) ถนนรัชดาภิเษก ซึ่งเป็นที่ตั้งปัจจุบัน และใช้ชื่อว่า “วิทยาลัยครูจันทรเกษม” ในปี พ.ศ. 2534 ได้รับรางวัลพระราชทานสถาบันการศึกษาดีเด่นระดับอุดมศึกษา จากกระทรวง ศึกษาธิการ เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2535 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ได้พระราชทานนามใหม่เป็น “สถาบันราชภัฏจันทรเกษม” ต่อมาได้รับการสถาปนาเป็น “มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม” เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2547 ปัจจุบัน มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม เป็นสถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษา เปิดสอนในระดับปริญญาตรี ภาคในเวลาราชการและนอกเวลาราชการ และเปิดสอนในระดับบัณฑิตศึกษาทั้งปริญญาโท และปริญญาเอก เน้นการผลิตบัณฑิต ที่มีคุณลักษณะตรงตามความต้องการของสังคมในทุกสถานการณ์ คณาจารย์และบุคลากรมีการพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนมีการจัดการเรียนการสอน การพัฒนาเทคโนโลยีและระบบสารสนเทศ ให้เป็นมหาวิทยาลัยที่มีมาตรฐานสากล ได้รับการยอมรับจากสังคมอย่างภาคภูมิ

 


3 มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่

มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ ได้พัฒนามาจากโรงเรียนฝึกหัดครูกสิกรรมประจำมณฑลพายัพ ซึ่งสถาปนาขึ้นเมื่อ พ.ศ.2467 โดยได้มีการพัฒนาและปรับเปลี่ยน สถาบันมาโดยลำดับ เป็นระยะเวลากว่า 74 ปี
 



2 มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา

มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา เดิมในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว สวนสุนันทา ได้เป็นที่ประทับของพระมเหสี พระราชธิดาและเจ้าจอมมารดาในพระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จำนวน 32 ตำหนัก รวมทั้งอาคารที่พักของบรรดาข้าราชบริพาร โดยมีพระวิมาดาเธอ กรมพระสุทธาสินีนาฎ ปิยมหาราชปดิวรัดา ประทับ ณ ตำหนักสายสุทธานพดล ตั้งแต่ พ.ศ. 2467 ปัจจุบันมีสภาพใกล้เคียงกับของเดิมมากที่สุดอยู่ 6 ตำหนัก เนื่องจากมีผู้นำบุตรีและหลานของตน มาถวายตัวต่อพระวิมาดาเธอกรมพระสุทธาสินีนาฎปิยมหาราชปดิวรัดาเป็นจำนวนมาก พระวิมาดาเธอฯ จึงทรงให้สร้างโรงเรียนนิภาคารสอนตามหลักสูตรการศึกษาสมัยนั้น รวมทั้งอบรมมารยาทและการฝีมือด้วยดำเนินกิจการไปโดยปริยาย พ.ศ. 2480 ในรัชกาลพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล คณะผู้สำเร็จราชการแทน พระองค์ดำริที่จะให้เป็นที่พักอาศัยของนายกรัฐมนตรีคณะรัฐมนตรี และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แต่คณะรัฐมนตรีลงมติให้ใช้สถานที่นี้ให้เป็นประโยชน์ทางการศึกษา ของรัฐกระทรวงธรรมการจึงได้จัดตั้งให้เป็นสถานศึกษาสำหรับกุลสตรี ชื่อโรงเรียนสวนสุนันทาวิทยาลัย เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2480 ตั้งแต่วันนั้นจนถึงปัจจุบัน


 

1 มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต

ประวัติมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต กว่า 60 ปีมาแล้วที่ “โรงเรียนการเรือน” ได้ถือกำเนิดขึ้นโดยราชดำริของเจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี ซึ่งเป็นโรงเรียนที่ได้ตระเตรียมความชำนาญให้แก่สตรีในยุคนั้น และในขณะเดียวกัน ก็เตรียมให้พวกเธอได้นำความรู้มาใช้ในการสอนด้วย หลายพันครอบครัวมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ก็เนื่องมาจากการมาเรียนที่โรงเรียนการเรือนแห่งนี้ นักศึกษาและคณาจารย์ทุกท่านภูมิใจในความสำเร็จที่ผ่านมา จากโรงเรียนการเรือนในสมัยนั้น ซึ่งได้พัฒนาการศึกษาเรื่อยมา จนเป็น “วิทยาลัยครูสวนดุสิต” และจึงมาเป็น “สถาบันราชภัฎสวนดุสิต” ใน ปัจจุบัน อนุบาลละอออุทิศ เป็นโรงเรียนอนุบาลแห่งแรกของประเทศไทย ที่เปิดสอนมาแล้วกว่า 50 ปี และเป็นโรงเรียนที่รับเด็กการศึกษาพิเศษ (เด็กที่มีความพิการทางหู ตา และสมอง) ในระดับอนุบาล เพื่อให้ได้เรียนร่วมกับเด็กปกติทั่วไป (Leaning Disability หรือ L.D.)

 

Credit  http://toptenthailand.com/display.php?id=2089      and      Unigang.com

Monday, November 7, 2011

วันลอยกระทง




วันลอยกระทง เป็นวันสำคัญวันหนึ่งของชาวไทย ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 ตามปฏิทินจันทรคติไทย ตามปฏิทินจันทรคติล้านนา "มักจะ" ตกอยู่ในราวเดือนพฤศจิกายนตามปฏิทินสุริยคติ ประเพณีนี้กำหนดขึ้นเพื่อเป็นการสะเดาะเคราะห์และขอขมาต่อพระแม่คงคา บางหลักฐานเชื่อว่าเป็นการบูชารอยพระพุทธบาทที่ริมฝั่งแม่น้ำนัมทามหานที และบางหลักฐานก็ว่าเป็นการบูชาพระอุปคุตอรหันต์หรือพระมหาสาวก สำหรับประเทศไทยประเพณีลอยกระทงได้กำหนดจัดในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณที่ติดกับแม่น้ำ ลำคลอง หรือ แหล่งน้ำต่าง ๆ ซึ่งแต่ละพื้นที่ก็จะมีเอกลักษณ์ที่น่าสนใจแตกต่างกันไป
ในวันลอยกระทง ผู้คนจะพากันทำ "กระทง" จากวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ ตบแต่งเป็นรูปคล้ายดอกบัวบาน ปักธูปเทียน และนิยมตัดเล็บ เส้นผม หรือใส่เหรียญกษาปณ์ลงไปในกระทง แล้วนำไปลอยในสายน้ำ (ในพื้นที่ติดทะเล ก็นิยมลอยกระทงริมฝั่งทะเล) เชื่อว่าเป็นการลอยเคราะห์ไป นอกจากนี้ยังเชื่อว่าการลอยกระทง เป็นการบูชาและขอขมาพระแม่คงคาด้วย


ประวัติ

เดิมเชื่อกันว่าประเพณีลอยกระทงเริ่มมีมาแต่สมัยสุโขทัย ในรัชสมัยพ่อขุนรามคำแหง โดยมีนางนพมาศหรือท้าวศรีจุฬาลักษณ์ เป็นผู้ประดิษฐ์กระทงขึ้นครั้งแรก โดยแต่เดิมเรียกว่าพิธีจองเปรียง ที่ลอยเทียนประทีป และนางนพมาศได้นำดอกโคทม ซึ่งเป็นดอกบัวที่บานเฉพาะวันเพ็ญเดือนสิบสองมาใช้ใส่เทียนประทีป[ต้องการอ้างอิง] แต่ปัจจุบันมีหลักฐานว่าไม่น่าจะเก่ากว่าสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น โดยอ้างอิงหลักฐานจากภาพจิตรกรรมการสร้างกระทงแบบต่างๆ ในสมัยรัชกาลที่1

ตื่น!'ดาวเคราะห์น้อย'จ่อพุ่งเฉียดโลกอังคารนี้


นาซาเผยว่า ในสัปดาห์นี้ จะมีดาวเคราะห์น้อยโคจรผ่านโลกในระยะที่ใกล้ที่สุดในรอบ 33 ปี แต่ยืนยัน จะไม่มีผลกระทบใดๆ ต่อโลก…
สำนัก ข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 6 พ.ย. ว่า องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ หรือองค์การนาซาของสหรัฐฯ ออกมาประกาศว่า ดาวเคราะห์น้อยชื่อ ’2005 YU55′ ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 400 เมตร จะโคจรมาใกล้โลกมากที่สุดในรอบ 33 ปี ภายในสัปดาห์นี้
นาซาคาด ว่า ดาวเคราะห์น้อยดังกล่าว จะโคจรมาใกล้โลกมากที่สุด ในวันอังคารที่ 8 พ.ย. เวลาประมาณ  23.30 ตามเวลาเชิงพิกัด หรือเท่ากับเวลา 6.30 น. วันพุธของไทย โดยจะมีระยะห่างจากโลก ในจุดที่ใกล้ที่สุด อยู่ที่ 320,000 กิโลเมตร ใกล้กว่าระยะห่างจากโลกไปดวงจันทร์ถึง 60,000 กิโลเมตร
นา ซาระบุว่า การที่ดาวเคราะห์น้อยขนาดใหญ่เคลื่อนตัวผ่านใกล้โลกมากขนาดนี้ ถือว่าเกิดขึ้นครั้งแรก ในรอบ 33 ปี โดยครั้งก่อน เกิดเมื่อปี 1978 และจะไม่มีดาวเคราะห์น้อยใดๆ เข้าใกล้โลกเท่านี้อีก จนถึงปี 2029
ทั้ง นี้ นายเจย์ เมลอช ศาตราจารย์ด้านวิทยาศาสตร์ธรณีวิทยาและอวกาศ จากมหาวิทยาลัยเพอร์ ดิว ออกมายืนยันว่า โลกและดวงจันทร์จะไม่ได้รับผลกระทบใดๆ จากการเข้าใกล้ในครั้งนี้ แต่ถ้าหากชนขึ้นมา แรงปะทะจะทำให้เกิดหลุมบนพื้นโลกขนาด 6.5 กิโลเมตร โดยมีความลึก 520 เมตรเกิดคลื่นสึนามิสูง 20 เมตร และมีพลังทำลายเท่ากับแผ่นดินไหวระดับ 7

ภาพดาวเคราะห์น้อย ’2005 YU55′ จากเรดาร์ดาวเทียม


เฉียดใกล้โลกมากกว่าดวงจันทร์เสียอีก

Credit  ไทยรัฐ and Unigang.com

Tuesday, November 1, 2011

น้องสาวสตีฟ จ็อบส์ เผยคำพูดสุดท้ายก่อนตาย "Oh Wow"

หนังสือพิมพ์ The New York Times ตีพิมพ์บทความสรรเสริญผู้ตาย (eulogy) ของ Mona Simpson น้องสาวแท้ๆ ของสตีฟ จ็อบส์ ซึ่งอยู่ในเหตุการณ์วาระสุดท้ายของเขาด้วย
Mona Simpson เป็นน้องสาวร่วมพ่อแม่เดียวกันกับจ็อบส์ แต่สองคนนี้ได้เจอกันครั้งแรกเมื่อ Mona อายุ 25 ปี เพราะจ็อบส์ถูกยกให้เป็นลูกเลี้ยงคนอื่น ในขณะที่ Mona อยู่กับแม่ที่แต่งงานใหม่ ทั้งสองคนเจอกันเมื่อจ็อบส์เริ่มประสบความสำเร็จในชีวิตแล้ว แต่ก็เข้ากันได้ดี ปัจจุบัน Mona ประกอบอาชีพนักเขียน ผลงานบางเรื่องถูกนำไปแปลงเป็นภาพยนตร์ เช่น Anywhere But Here (ประวัติในวิกิพีเดีย)
Mona พูดถึงจ็อบส์ว่าเป็นคนขยันทำงานมาก และรักครอบครัวมาก เขาไม่ชอบตามเทร็นด์ของสังคม แต่ชอบคบกับคนที่มีอายุไล่เลี่ยกับตัวเขาเอง เขาเคยบอกกับ Mona ว่าถ้าเขาเติบโตมาในแบบอื่น เขาอาจจะเป็นนักคณิตศาสตร์แทน
Mona เปิดเผยว่าสตีฟ จ็อบส์ต้องเปลี่ยนนางพยาบาลถึง 67 คน จนกว่าจะเจอนางพยาบาล 3 คนที่เข้ากับเขาได้ และอยู่กับเขาจนวินาทีสุดท้ายของชีวิต หลังการปลูกถ่ายตับ เขาก็ต้องหัดเดินใหม่อีกครั้ง ซึ่งภรรยาของเขามีส่วนช่วยให้กำลังใจเขามาก
นอกจากนี้ ช่วงที่เขานอนโรงพยาบาล เขาร้องขอสมุดบันทึกและวาดไอเดียต่างๆ ที่อยู่ในหัว ซึ่งมีทั้งอุปกรณ์ที่ช่วยถือ iPad สำหรับคนที่นอนโรงพยาบาล, เครื่องเอ็กซเรย์ดีไซน์ใหม่ และห้องพักคนไข้ที่เขาอยากให้เป็น
Mona เล่าว่าคนในครอบครัวไม่มีใครรู้ว่าวาระสุดท้ายของจ็อบส์จะเกิดขึ้นเมื่อใด วันที่เขาอาการดี เขาจะเรียกคนที่แอปเปิลมาคุยงาน และเดินหน้าโครงการต่อเรือที่เขาทำมานาน โดยมีทีมช่างจากเนเธอร์แลนด์เป็นผู้ช่วย
เช้าวันก่อนวันที่เขาเสียชีวิต เขาโทรหา Mona ให้เธอรีบเดินทางมาที่ Palo Alto เพื่อมาดูใจเขา เมื่อเธอบอกว่ากำลังอยู่ระหว่างทางไปสนามบิน เขาก็บอกลากับเธอ เพราะเกรงว่าเธอจะไปไม่ทัน แต่เมื่อเธอไปถึง เธอก็พบว่าเขายังมีสติดี และใช้เวลาพูดคุยกับเพื่อนของเขาที่แอปเปิลเป็นครั้งสุดท้าย จากนั้นเขาขอโทษ Mona ที่ไม่มีโอกาสแก่เฒ่าไปด้วยกันตามที่สัญญาไว้
หมอบอกว่าเขามีโอกาส 50/50 ที่จะรอดพ้นคืนนั้น ซึ่งเขาผ่านมาได้
ส่วนวาระสุดท้ายของจ็อบส์แวดล้อมด้วยสมาชิกของครอบครัว เขามองดูหน้าญาติสนิท ภรรยา และลูกๆ ก่อนจะพูดประโยคสุดท้ายซ้ำกันสามครั้ง
OH WOW. OH WOW. OH WOW.
ที่มา Blognone.com  และ Unigang.com

7 แบบ ความฉลาด

หลังจากอ่านบทความนี้จบแล้ว 
เราจะไปว่าเขาฉลาด หรือ ไม่ฉลาด
ไม่ได้แล้ว
เพราะต่างคน
ต่างฉลาดในเรื่องที่ต่างกัน

เราจะเห็นว่าบางคนก่งเรื่องเรียน
แต่ไม่เก่งเรื่อง สังคม
ไรงี่
บางคนไม่มาเรียน มาก็สาย ไร้ความรับผิดชอบ
แต่ไหงได้ คะแนนเยอะกว่าเรา
ที่มาเรียนทุกวัน มาเช้า 
ทำงานส่งตลอด (แอบแค้นๆ ๕๕)




คนฉลาดจะทำงานได้ดีกว่าคนฉลาดน้อยหรือไม่???
   คำตอบ คือไม่แน่   ขึ้นอยู่กับคำจำกัดความของคำว่า ฉลาด  ถ้าหมายถึงงงการความสามารถในการวิเคราะห์ปัญหาที่ซับซ้อน คำตอบอาจจะใช่
คนฉลาดกว่าจะสามารถเรียนรู้สิ่งต่างๆ ได้เร็วกว่าคนที่ฉลาดหรือไม่??
  คำตอบ คือ ใช่    คนฉลาดเรียนรู้งานได้เร็วกว่า จะมีโอกาสทำงานสำเร็จได้สูงกว่า



เฮาวาร์ด การ์ดเนอร์ นักจิตวิทยาชาวอเมริกันเสนอความคิดหนึ่ง เขาบอกว่าความฉลาดของมนุษย์นั้นมีอยู่ 7 อย่าง
คุณการ์ดเนอร์แกเชื่อว่ามนุษย์มีความฉลาดที่มีมาแต่กำเนิดไม่เท่ากัน บางคนมีความฉลาดอย่างหนึ่งมากกว่าอย่างหนึ่ง บางคนอาจมีความฉลาดหลายอย่างอยู่ในตัว และถ้ายิ่งได้ฝึกฝนมากขึ้นความฉลาดอันนั้นก็จะยิ่งสูงขึ้นไปอีก
แล้วถามว่าสำหรับคนที่ไม่มีเลยจะฝึกให้มีขึ้นได้ไหม ผมว่าได้ ผมมองว่าความฉลาดของคนฝึกฝนกันได้ แต่จะได้มากหรือน้อยก็ต้องย่อมขึ้นอยู่กับปัจจัยอีกมากมาย และคงต้องยอมรับว่าแต่ละคนย่อมได้ผลจากการฝึกไม่เท่ากัน
เป็นความจริงทีเดียวที่เด็กทุกคนเปรียบเหมือนผ้าขาว แต่ผ้าขาวย่อมมีหลายเนื้อ และผ้าแต่ละเนื้อก็ย่อมดูดซึมสีแต่ละชนิดได้แตกต่างกัน ผ้าบางอย่างย่อมเหมาะกับสีบางอย่าง
ผมมีคนอยู่เจ็ดคนจะแนะนำให้รู้จัก เป็นคนฉลาดที่ทฤษฎีของนายการ์ดเนอร์พูดถึงนั่นแหละครับ

คนแรกเขาชื่อ คณิต ครับ เด็กหนุ่มคนนี้เป็นภาพของคนฉลาดอย่างที่คนทั่วไปนึกถึงก่อนเป็นลำดับแรก เขาเก่งวิทยาศาสตร์ สอบเลขได้คะแนนดีเสมอ มุมมองของเขาต่อสรรพสิ่งเป็นตรรกะ เขาเชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่างมีเหตุมีผล ปรากฏการณ์ทุกอย่างในจักรวาลต้องอธิบายได้ด้วยตรรกวิทยา
ในทางจิตวิทยาเรียกความฉลาดแบบนี้ว่า Logical & Mathematical Intelligence หรือ ความฉลาดด้านตรรกะและคณิตศาสตร์ คนฉลาดแบบนี้สมัยกรีกโบราณเขาเรียกว่าปราชญ์ครับ


คนที่สองชื่อ รจนา เธอคล่องถึงสามภาษา และกำลังวางแผนที่จะเรียนอีกภาษาหนึ่งอยู่ ใครๆ ก็มักบอกว่าเธอเขียนโคลงกลอนได้อย่างกับมืออาชีพ ตอนเป็นนักเรียนเธอเข้าใจความหมายของเสียงในคำได้ทันทีที่ครูพูดถึง เพื่อนหลายคนต้องให้เธอติวเรื่องเสียงเอก โท ตรี ที่เธอก็ไม่เข้าใจว่ามันยากตรงไหน ตอนอยู่มหาวิทยาลัยเธอร่วมอยู่ในชมรมโต้วาทีโดยเป็นประธานชมรมถึงสองสมัย
เธอมีความฉลาดที่เรียกกันว่า ความฉลาดด้านภาษา หรือLinguistic Intelligence อย่างเต็มเปี่ยม


คนที่สามคนเป็นช่างไม้ครับ ผมเรียกแกว่าน้า ทรง น้าทรงแกเป็นผอมๆ ดูไม่ค่อยมีเรี่ยวแรงเท่าไร ยังนึกแปลกใจอยู่เลยว่าแล้วแกจะมีแรงเลื่อยไม้ไหวหรือ
น้าทรงเป็นหัวหน้าช่างครับ แต่ผมว่าแกฉลาดเหลือเกิน แกเข้าใจรูปทรงสามมิติได้อย่างไม่น่าเชื่อ รูปทรงยากๆ แค่ไหน อธิบายให้แกฟังแกก็เข้าไม้ได้ไร้ที่ติ การกะระยะยิ่งไม่ต้องพูดถึงแทบจะไม่ต้องใช้เทปวัดเลย ว่างๆ ผมเห็นแกนั่งวาดรูปเล่น เส้นสายไม่เลวเลยครับ ถ้าได้ร่ำเรียนเสียหน่อย แกก็น่าจะไปได้ดี นี่ถ้าแกเกิดในครอบครัวที่ส่งเสียแกเรียนได้ผมว่าแกคงเลือกเรียนจิตรกรรมหรือสถาปัตย์ เป็นแน่
คุณการ์ดเนอร์ แกเรียกคนที่มีความสามารถในการกะระยะทาง การเข้าใจรูปทรง การมองเห็นเป็นสามมิติ ความชำนาญในการใช้สี เส้น ที่ว่าง และสร้างความสัมพันธ์ให้กับมันได้ว่าเป็นคนที่มี ความฉลาดด้านมิติ หรือSpatial Intelligence ความฉลาดด้านมิตินี่รวมไปถึงความชำนาญเรื่องทิศทางด้วยนะครับ
คนที่สี่คนนี้เป็นนักกีฬาสมัครเล่นครับ ถึงจะดูจากรูปร่างแล้วเขาก็ไม่ได้มีร่างกายล่ำสันอะไร แต่กีฬาแทบทุกชนิดเขาเล่นได้ดีเหมือนกับว่าอุปกรณ์กีฬาที่เล่นอยู่เป็นส่วนหนึ่งของร่างกายเขาเองเลย ชื่อ อินทรีย์ ครับคนนี้ เคยแปลกใจบ้างไหมครับเวลาที่เราเห็นคนบางคนเล่นกีฬาอะไรก็ดีไปหมดเสียทุกอย่าง
ไมเคิล จอร์แดน เป็นตัวอย่างที่เห็นได้ชัด ทั้งบาสเกตบอล เบสบอล หรือแม้แต่กอล์ฟ เขาเล่นได้ดีอย่างน่าอัศจรรย์ เขาทราย แกแล็คซี่ ของเรานี่ก็ใช่ครับ นอกจากทำให้คนทั้งโลกยอมรับไปแล้วว่าไม่มีใครที่น้ำหนักตัวเท่าเขาล้มเขาบนสังเวียนได้ ผมยังเคยเห็นเขายิงหนังสติ๊กออกทีวีโชว์ความแม่นยำที่ต้องบอกว่าแม่นเอามากๆ และก็ยังเคยได้ยินมาอีกว่าชั้นเชิงสนุกเกอร์กับฝีมือตะกร้อของเขาก็ไม่เบาทีเดียว
ไอ้ครั้นจะบอกว่าคนพวกนี้มีกล้ามเนื้อใหญ่กว่าคนอื่นก็คงไม่ใช่ เพราะกล้ามเนื้อคนเรานี่มันเพาะกันได้ แล้วผมก็ว่านักกล้ามกับนักกีฬานี่มันก็ไม่เกี่ยวกัน

นักจิตวิทยาอเมริกันท่านนี้มองว่า ความสามารถในการใช้ร่างกายของคนเราก็เป็นความฉลาดอย่างหนึ่ง ความแคล่วคล่อง ความยืดหยุ่น หรือแม้แต่จังหวะจะโคน ล้วนเป็นความฉลาดของกล้ามเนื้อทั้งสิ้น
พวกนักเล่นกลหรือนักกายกรรมนี่ก็ใช่นะครับ พวกใช้มือประดิษฐ์สิ่งของเก่งๆ นี่ก็ใช่เหมือนกัน รวมไปถึงพวกพ่อครัวที่โยนแป้งได้สูงๆ แล้วรับได้ พวกโยนผักบุ้งลอยฟ้า คนที่ใช้มือได้คล่องๆ อย่างนี้ล้วนมีความฉลาดเหมือนที่นายอินทรีย์มี เป็นความฉลาดที่เรียกว่า ความฉลาดด้านร่างกาย หรือ Bodily Intelligence นั่นเอง

คนต่อมาชื่อลุง สำเนียง ครับ เครื่องดนตรีในวงปี่พาทย์ทั้งวงนี่คุณลุงแกเล่นได้หมดเลยโน้ตสักตัวก็ไม่รู้ แต่แต่งเพลงมาไม่รู้กี่เพลงแล้ว พูดง่ายๆ คุณลุงแกมี Musical Intelligence หรือ ความฉลาดด้านดนตรี มาตั้งแต่เกิด
ใครร้องเพลงเพี้ยนขึ้นมาไม่ถึงสามคำแกก็เคาะหัวได้เลย เรื่องจังหวะนี่ยิ่งไม่ต้องพูดถึง อย่างแกนี่ต้องเรียกว่าชีพจรเพลงมากกว่าจังหวะเพลง คิดดูก็แล้วกันเล่นเพลงอยู่ดีๆ เกิดสัปหงกหลับไป สะดุ้งตื่นขึ้นมายังเดี่ยวระนาดเข้ากับวงได้ทันทีไม่มีคร่อม พวกนักเต้นรำที่คล่องจังหวะมากๆ นี่ก็ถือว่ามีความฉลาดด้านดนตรีเหมือนกัน ต่อให้จังหวะซอยถี่แค่ไหนก็ยังย่ำเท้าได้ไม่มีผิด
คนที่หกเขาชื่อ สัมพันธ์ เคยเห็นคนแบบนี้บ้างไหมครับ คนที่ไปอยู่ที่ไหนใครก็รัก ไม่เป็นพิษเป็นภัยกับใคร
และดูเหมือนจะเป็นคนที่เข้าใจความรู้สึกและเจตนาของคนอื่นได้ดีเป็นพิเศษ เป็นคนที่รู้ถึงความเหมาะเจาะของสัมพันธภาพของมนุษย์ ไม่มีขาดไม่มีเกิน
ความสามารถแบบนี้คุณการ์ดเนอร์แกก็ถือเป็นความฉลาดอย่างหนึ่ง เขาเรียกว่า ความฉลาดด้านมนุษยสัมพันธ์ หรือ Interparsonal Intelligence
คนสุดท้ายชื่อแปลกหน่อยนะครับเขาชื่อ อัตตา จิตแพทย์ส่วนใหญ่ลงความเห็นกันว่าปัญหาสุขภาพจิตของผู้คนทุกวันนี้ล้วนแล้วมาจากการที่ไม่มีใครทำตัวเหมือนคุณอัตตาคนนี้ แล้วคุณอัตตาฉลาดตรงไหนหรือ?
คุณอัตตาเป็นคนที่นับถือตัวเองอย่างมาก แต่ในขณะเดียวกันเขาก็รู้จุดอ่อนตัวเองรู้ความปรารถนาและรู้อารมณ์ของตัวเอง ที่สำคัญที่สุดเขารู้ด้วยว่าจะจัดการกับอารมณ์ของตัวเองตรงนั้นอย่างไร
เราเรียกความฉลาดของคุณอัตตาว่า ความฉลาดด้านเข้าใจตนเอง หรือ Intrapersonal Intelligence หลายคนรู้จักกันดีในชื่อของ EQ หรือ ความฉลาดทางอารมณ์ นั่นเอง ซึ่งความฉลาดอันสุดท้ายนี่แหละครับที่นักจิตวิทยาทั้งโลกกำลังส่งเสริมให้ฝึกฝนกัน เพราะมันทำให้มนุษย์ประสบความสำเร็จมากขึ้น
แต่เราต้องเห็นตรงกันก่อนว่าความสำเร็จในชีวิตมนุษย์คือความพอใจในความสุขตามอัตภาพ ไม่ใช่เงินทองยศฐาฯ
มนุษย์ทุกคนมีความฉลาดใน 7 ด้านนี้มาแต่อ้อนแต่ออก แต่อาจจะมีมากน้อยไม่เท่ากัน บางคนอาจมีทั้งเจ็ดด้านเฉลี่ยๆ ไป แต่บางคนอาจมีด้านเดียวโด่งไปเลย การฝึกฝนเป็นหินก้อนสำคัญที่จะลับมีดทั้งเจ็ดเล่มนี้ให้คมยิ่งขึ้น
หาให้พบนะครับ คนเจ็ดคนที่ผมแนะนำให้รู้จัก ถูกคอกับคนไหนก็อย่าลืมสนิทกับเขาให้มากๆ เขาอยู่ในตัวพวกเราทุกคนนั่นแหละ
ที่มา หนังสือพิมพ์มติชน”คอลัมน์คุยกับประภาส”   และ yenta4.com และ Unigang.com