Monday, January 9, 2012

เทคนิคการทำข้อสอบ Reading

  ส่วนต่อมาของข้อสอบ  ซึ่งเป็นส่วนที่มีความสำคัญมาก คือ Reading  comprehension  (ความเข้าใจในการอ่าน)  ครูให้ความสำคัญกับการอ่าน  ครูขออธิบายแบบสั้นๆ  นะคะ  เพราะความจริงแล้วเทคนิคการอ่านมีมากมายจริงๆ  เอาแค่ที่ครูเปิดสอนนักเรียน  ม.ปลาย  ที่โรงเรียนก็มีตั้ง  6  คอร์ส  และถ้าเราฝึกเทคนิคการอ่านให้เก่งๆ  เราก็จะโกยคะแนนในส่วนนี้ได้มากกว่าคนอื่น  (ซึ่งมักจะคิดว่า  Reading  คือ  ต้องเดาเสมอ)  ใน  Reading  Part  จะแบ่งออกเป็น  2  ส่วน  คือ


          ส่วนที่เป็นการอ่านสื่อต่างๆ  ในชีวิตประจำวัน  เช่น  ข้อความจากหนังสือพิมพ์  ,  พจนานุกรม , แผนภูมิ , ตาราง  ,การพยากรณ์อากาศ , ฉลากยา  เป็นต้น  การอ่านข้อความประเภทนี้  ต้องใช้ทักษะการอ่านแบบ  skim  คือ  การกวาดตาอย่างเร็วๆ  เพื่อดูข้อมูลทั่วๆไป และ  scan  คือการกวาดตาอย่างเร็วๆ  เพื่อหาจุดมุ่งหมายที่ต้องการ

          ส่วนที่สอง  เป็นการอ่านเนื้อเรื่องความยาวประมาณ  10-20  บรรทัด  แต่ละเรื่องจะมีคำถามเรื่องละ  6-9  ข้อ  ขึ้นอยู่กับความยาวและความยากง่ายของเนื้อเรื่อง  คำถามที่จะปรากฏอยู่ในข้อสอบอ่าน  จะมีคำถามหลักดังนี้

1.  ถาม  title  หรือ  topic  (ชื่อเรื่อง) , main  idea  (ความคิดหลักของเรื่อง)  วิธีการตอบคำถามประเภทนี้สามารถใช้เทคนิคในกรหาคำตอบได้ดังนี้

          -  ใช้วิธี  skim  และ  scan  คือการกวาดตาอย่างรวดเร็ว  เพื่อหาคำซ้ำๆ  ในเรื่อง  ซึ่งเป็นคำที่ซ้ำๆ ที่อยู่ในกลุ่มคำที่น่าจะสัมพันธ์กัน  นำมาประมวลรวมกันเพื่อรวมเป็นหัวเรื่องหรือแนวคิดหลักของเรื่อง
          -  ถ้าเนื้องเรื่องที่อ่านมีเพียง  1-2  ย่อหน้า  ให้อ่านประโยคแรกและประโยคสุดท้ายของย่อหน้าแรก  เพราะปะโยคแรกและประโยคสุดท้ายของแต่ละย่อหน้า  มักจะเป็นประโยคที่มี  main  idea  แล้วนำประโยคที่อ่านมาประมวลความคิด  เพื่อหาความคิดหลักของเรื่อง

          ถ้าเนื้อเรื่องที่อ่านมีตั้งแต่  3 ย่อหน้าขึ้นไป  ให้อ่านย่อหน้าแรกและย่อหน้าสุดท้าย  เพราะย่อหน้าแรกมักจะเป็นคำนำ  และย่อหน้าสุดท้ายมักจะเป็นสรุป  ซึ่งจะทำให้เราสามารถจับใจความหลักของเนื้อเรื่องที่เราอ่านได้

          ครูขอให้จำไว้เสมอว่า  title , topic  หรือ main idea  ของเรื่องจะต้องไม่กว้างมากเกินไปหรือไม่แคบเกินไป  ถ้าครูจะเปรียบความคิดหลักของเรื่องก็คล้ายๆ  กับฝาชี  เรามีฝาชีไว้ครอบจานอาหาร  ฝาชีนั้นต้องครอบอาหารได้ทุกจาน  ไม่มีจานใดจานหนึ่งเล็ดลอดออกมา  ในขณะเดียวกันก็ต้องไม่ใหญ่จนเกินไป เช่น  ถ้าเราจับได้ว่าคำซ้ำๆ  กันในเนื้อเรื่องคือ  tiger , leopard , zebra , hare, snake  ดังนั้น  title  หรือ  topic  ก็ควรจะเป็น  wild  animals  ถ้าเราเลือก  animal  เฉยๆ  ก็มักจะกว้างเกินไป  จริงไหมคะ

2.  ถาม  pronoun  reference  นั่นก็คือคำถามประเภท  “it”  line…..refers  to….  คิดว่าคงเคยเจอบ่อยๆ  เลยใช่ไหมคะ  เทคนิคการทำข้อสอบประเภทนี้มี  2  วิธีค่ะ  คือ

          -  ถ้าข้อสอบถามถึงคำประเภท  เช่น  he , she , they , we , this , that , there , these , those , one , such , the above  เราต้องใช้วิธีการ  backward  คือ  ถอยหลังกลับไปอ่านในประโยคก่อนหน้านี้  1-2  ประโยค  ถ้าไม่เจออาจจะถอยไปประโยคที่  3  แต่โอกาสที่จะถอยไป  3 ประโยค  หรือเกินกว่านี้มีน้อยมากค่ะ  เพราะตามหลักของการเขียนจะไม่อ้างอิงหลายประโยค  เพราะอาจทำให้ผู้อ่านสับสน

          -  ถ้าข้อสอบถามถึงคำประเภท  เช่น  the  following , as follows , bello , like , in this  following  เราต้องใช้วิธีการ  forward  คือ  อ่านต่อไปอีก  1-2  ประโยค  ก็จะได้คำตอบค่ะ

          -  ถ้าข้อสอบถามถึง  it ให้ดูให้ดีว่า  it  ตัวนี้จะใช้วิธี  backward  หรือ  forward  ครูขอให้นักเรียนสังเกตอย่างนี้นะคะ  ถ้าโจทย์ให้ประโยคแบบ  it + to be  (is , am , are , was , were)  +  adj.  +  to  V.  เช่น  It  is  dangerous  to  use  this  drug.  ให้ใช้วิธี  forward  คือ  เดินหน้ามาจาก  it  คำตอบก็คือ  to  V.  ในที่นี้ก็คือ  to  use  this  drug.  เพราะประโยคแบบนี้เป็นการ  Rewrite  มาจาก  To  use  drug  is  dangerous.  แล้วเราก็เอา  it  มาแทน  subject  ของประโยค  คือ  To  use  drug  ค่ะ  (ตั้งสติทำความเข้าใจให้ดีๆ นะคะ)

          แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น  เมื่อได้ตัวที่เราคาดว่าจะเป็นคำตอบที่ถูกต้องแล้ว  อย่าลืมนำคำที่เราเลือกแล้วมาวางแทนที่คำปริศนาคำนั้นดูด้วยนะจ๊ะ  ว่าใส่ลงไปแล้วมันใช้ได้  มีใจความเหมาะสมหรือไม่  กันพลาดค่ะ

          แหม!  อ่านกันมาตั้งยืดยาวท่าทางจะเหนื่อยน่าดู  พอกันก่อนดีไหมคะ  แล้วมาทำต่อกันตอนหน้าค่ะ




ขอขอบคุณภายใต้ความร่วมมือของโรงเรียนสอนภาษา อ.พนิตนาฎ ชูฤกษ์ และวิชาการดอทคอม
www.panidnad.com และ Unigang.com

Sunday, January 8, 2012

10 อันดับ รถยนต์แพงที่สุดปี 2012

นิตยสาร “ฟอร์บส์” เปิดโผรถยนต์ใหม่ป้ายแดงที่มีค่าตัวแพงที่สุดในปี 2012 (พิจารณาจากราคาจำหน่ายมาตรฐานของสหรัฐอเมริกา)



อันดับที่ 10 พอร์ช 918 สไปเดอร์ (Porsche 918 Spyder)
รถสปอร์ต (ไฮบริด) สายพันธุ์เยอรมันคันนี้ มีราคาจำหน่าย $845,000 (กว่า 26 ล้านบาท) ใช้เครื่องยนต์ V8 ขนาด 3.4 ลิตร ขุมพลัง 500 แรงม้า และมอเตอร์ไฟฟ้า 3 ตัวที่ให้ขุมพลัง 218 แรงม้า โดยมีอัตราเร่ง 0-60 ไมล์ต่อชั่วโมง (0-100 ก.ม./ช.ม.) ภายในเวลา 3.1 วินาที








อันดับที่ 9 เอสเอสซี ทัวทาร่า (SSC Tuatara)
รถสปอร์ตสัญชาติอเมริกันคันนี้ ใช้เครื่องยนต์ V8 ขนาด 6.8 ลิตร ให้ขุมพลังเต็มเปี่ยมที่ 1,350 แรงม้า อัตราเร่ง 0-60 ไมล์ต่อชั่วโมง (0-100 ก.ม./ช.ม.) ภายในเวลา 2.5 วินาที ค่าตัวอยู่ที่ประมาณ $970,000 (กว่า 30 ล้านบาท)






อันดับที่ 8 เฮนเนสซี่ย์ เวนอม จีที (Hennessey Venom GT)
รถยนต์อเมริกันคันนี้มีค่าตัวราว $1 ล้าน (กว่า 31 ล้านบาท) ใช้เครื่องยนต์ V8 ขุมพลัง 1,200 แรงม้า อัตราเร่ง 0-60 ไมล์ต่อชั่วโมง (0-100 ก.ม./ช.ม.) ภายในเวลา 2.5 วินาที







อันดับที่ 7 ปากานิ ไวร่า (Pagani Huayra)
รถยนต์สปอร์ตสายพันธุ์อิตาลีคันนี้มีค่าตัว $1.3 ล้าน (เกือบ 41 ล้านบาท) ใช้เครื่องยนต์ V12 ของเมอร์เซเดส เบนซ์ ที่ให้ขุมพลัง 700 แรงม้า โดยมีอัตราเร่ง 0-60 ไมล์ต่อชั่วโมง (0-100 ก.ม./ช.ม.) ภายในเวลา 3.5 วินาที







อันดับที่ 6 มายบัค แลนเดาเล็ต (Maybach Landaulet)
รถเปิดประทุนสุดหรูจากเยอรมนีคันนี้ มีค่าตัว $1.4 ล้าน (เกือบ 44 ล้านบาท) ใช้เครื่องยนต์ V12 620 แรงม้า อัตราเร่ง 0-60 ไมล์ต่อชั่วโมง (0-100 ก.ม./ช.ม.) ภายในเวลา 5.2 วินาที







อันดับที่ 5 แอสตัน มาร์ติน วัน-77 (Aston Martin One-77 )
ซูเปอร์คาร์เมืองผู้ดีคันนี้มีค่าตัวเท่ามายบัค แลนเดาเล็ตที่ $1.4 ล้าน (เกือบ 44 ล้านบาท) โดยมาพร้อมเครื่องยนต์ V12 ขนาด 7.3 ลิตร ที่ให้พลัง 750 แรงม้า และมีอัตราเร่ง 0-60 ไมล์ต่อชั่วโมง (0-100 ก.ม./ช.ม.) ภายในเวลา 3.7 วินาที







อันดับที่ 4 คอนิกเส็กก์ อาเกียร่า อาร์ (Koenigsegg Agera R)
ซูเปอร์คาร์จากประเทศสวีเดนคันนี้ ใช้เครื่องยนต์ V8 ขนาด 5.0 ลิตร ที่มาพร้อมขุมพลัง 1,115 แรงม้า โดยมีอัตราเร่งตั้งแต่ 0-60 ไมล์ต่อชั่วโมง (0-100 ก.ม./ช.ม.) ภายในเวลา 2.9 วินาที ค่าตัวอยู่ที่ $1.7 ล้าน (กว่า 53 ล้านบาท) และถ้าอยากได้เวอร์ชั่นคาร์บอนไฟเบอร์ก็ต้องจ่ายเพิ่มอีก $270,000 (เกือบ 8.5 ล้านบาท)









อันดับที่ 3 เซนโว เอสที วัน (Zenvo ST1)
รถสปอร์ตสุดหรูจากประเทศเดนมาร์กคันนี้ มีค่าตัวสูงถึงคันละ $1.8 ล้าน (กว่า 56 ล้านบาท) โดยมาพร้อมเครื่องยนต์ V8 ขุมพลัง 1,250 แรงม้า อัตราเร่งตั้งแต่ 0-60 ไมล์ต่อชั่วโมง (0-100 ก.ม./ช.ม.) ภายในเวลา 2.9 วินาที










อันดับที่ 2 เฟอร์รารี่ 599 เอ็กซ์เอ็กซ์ (Ferrari 599XX)
สุดยอดรถสปอร์ตสายพันธุ์อิตาลีคันนี้ มาพร้อมเครื่องยนต์ V12 ที่ให้ขุมพลัง 700 แรงม้า และมีอัตราเร่ง 0-60 ไมล์ต่อชั่วโมง (0-100 ก.ม./ช.ม.) ภายในเวลา 2.9 วินาที ค่าตัวของรถรุ่นนี้ไม่มีการประกาศให้ทราบอย่างเป็นทางการ แต่ลือกันว่าน่าจะมากกว่า $2 ล้าน (มากกว่า 63 ล้านบาท) เห็นค่าตัวแพงขนาดนี้ ขอบอกว่านำมาวิ่งบนท้องถนนไม่ได้ (ต้องซิ่งในสนามแข่งรถเท่านั้น) ที่สำคัญ รถรุ่นนี้ทางเฟอร์รารี่จะจำหน่ายให้กับผู้ที่ได้รับคำเชิญ (ให้ไปซื้อ) เท่านั้น









อันดับที่ 1 บูกัตติ เวย์รอน ซูเปอร์สปอร์ต (Bugatti Veyron Supersport)
สุดยอดรถยนต์จากแดนน้ำหอม “บูกัตติ เวย์รอน ซูเปอร์สปอร์ต” มาพร้อมค่าตัวที่สูงถึง $2.6 ล้าน (กว่า 81 ล้านบาท) รถรุ่นนี้ใช้เครื่องยนต์ V16 ที่ให้ขุมพลังสูงถึง 1,200 แรงม้า และมีอัตราเร่งสูงสุดตั้งแต่ 0-60 ไมล์ต่อชั่วโมง (0-100 ก.ม./ช.ม.) ภายในเวลา 2.4 วินาที



เครดิต Unigang.com

Saturday, January 7, 2012

10 อันดับของเมาส์ ที่ราคาแพงที่สุด

เชื่อว่าคนที่เล่นคอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่คงไม่มีใครไม่รู้จักเมาส์ ที่ใช้ในการควบคุมหน้าจอเดสทอป วันนี้มีเรื่องแปลกๆ มาฝากครับเป็นการรวม 10 อันดับของเมาส์ที่แพงที่สุดในโลก แน่นอนว่าราคาไม่ธรรมดาแน่ๆ แต่บางตัวนั้น แม้เราจะมีเงินถึงแต่ก็ไม่สามารถหาซื้อได้ เพราะเป็นรุ่น Limited Edition ที่ผลิตมาเพียงไม่กี่ชิ้น เอาเป็นว่าดูเพื่อความบันเทิงเริงใจ ก็แล้วกันครับ :)


1. Logitech Air 3D Laser Mouse in Gold Case (725,400 บาท)

เป็นเมาส์ยี่ห้อ Logitech ทำมาจากทองคำ !!

2. Gigabyte bling-bling GM-M7800S wireless mouse (555,300 บาท)

เมาส์ยี่ห้อ Gigabyte ครับเป็นไวเลสทำจากหนังแท้ แนวคลาสสิค


3. The Gold Bullion Wireless Mouse ( 1,105,050 บาท)

เป็นเมาส์ไวลเสครับ ทำมาจากทองคำ รูปทรงคล้ายๆ ทองแท่ง ราคาหลักล้านบาท เลยทีเดียว

4. USB mouse covered with white gold (801,900 บาท)

ตัวนี้เป็นเมาส์สาย USB ทำมาจากทองคำขาว ราคาแปดแสนกว่าบาท !!

5. Black Diamond Logitech mouse (955,200 บาท)

เมาส์ฝังเพชรจากยี่ห้อ Logitech ราคาเฉียดล้าน !!

6. MJ- Luxury VIP Mouse (1,034,400 บาท)

ชื่อก็บอกแล้วครับตัวนี้ว่าเป็น VIP Mouse ทำมาจากเพชรและทองคำ ราคาล้านกว่าบาท

7. Python Leather Mouse by MJ (535,200 บาท)

ทำมาจากหนังครับตัวนี้ ราคาเบาะๆ ครึ่งล้าน !!

8. Gold Metal Sun Mouse from MJ777 edition (591,600 บาท)

ตัวนี้เป็นรูปทรงพระอาทิตย์ ทำมาจากทองคำ สนนราคาเกือบ 6 แสนบาท

9. MJ Blue Sapphire Mouse (838,200 บาท)


10. Crocodile skin Gold Mouse Ferrari (517,740 บาท)

ทำมาจากหนังจรเข้แท้ครับตัวนี้ ครึ่งล้าน



Credit : postjung and Unigang.com

“วรวัจน์” ผุดไอเดียปรับระบบสอบรับตรงใหม่ สอบครั้งเดียวตามกลุ่มวิชา

  “วรวัจน์” ผุดแนวคิด ปรับระบบสอบรับตรงใหม่ สอบครั้งเดียวตามกลุ่มวิชา วาดฝันในอนาคตนำไปรวมกับระบบแอดมิสชั่นส์ให้กลายเป็นระบบคัดเลือกใหม่ หวังเริ่มใช้ระบบรับตรงใหม่ปี 56 ขณะที่ การสอบวิชาสามัญ 7 วิชา ที่ร.ร.วัดสุทธิวรารามพบผู้เข้าสอบอายุมากที่สุด 53 ปี มาสอบเพื่อนำความรู้ไปสอนลูกหลาน “สัมพันธ์” เผยใช้มาตรการป้องกันการทุจริตแบบเดียวกับสอบ GAT/PAT แต่มีการกำชับเพิ่มเติมทั้งเรื่องความปลอดภัยของข้อสอบ การคุมสอบ และการจัดโต๊ะสอบ 
      
       วันนี้ (7 ม.ค.) เมื่อเวลา 09.00 น. ที่สนามสอบโรงเรียนวัดสุทธิวราราม นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) พร้อมด้วยรศ.ดร.สัมพันธ์ พันธุ์พฤกษ์ ผอ.สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.) และผู้บริหารหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเดินทางมาตรวจเยี่ยมสนามสอบ การจัดทดสอบวิชาสามัญ 7 วิชา เพื่อนำคะแนนไปใช้ในการคัดเลือกเข้าศึกษาต่อในสถาบันอุดมศึกษาในระบบรับตรงผ่านเคลียริ่งเฮาส์ ประจำปีการศึกษา 2555 ซึ่งจัดสอบพร้อมกันทั่วประเทศระหว่างวันที่ 7-8 มกราคม 2555

 
นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ตรวจเยี่ยมสนามสอบวิชาสามัญ 7 วิชาครั้งแรกที่สนามสอบโรงเรียนวัดสุทธิวราราม พร้อมด้วย รศ.ดร.สัมพันธุ์ พันธุ์พฤกษ์ ผอ.สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ และนายสุนันทวิทย์ พลอยขาว ผอ.โรงเรียนวัดสุทธิวราราม
       นายวรวัจน์ กล่าวภายหลังการตรวจเยี่ยม ว่า การทดสอบวิชาสามัญ 7 วิชาถือเป็นการจัดสอบครั้งแรก เพื่อนำคะแนนไปใช้ในรับตรงผ่านเคลียริ่งเฮาส์ ซึ่งในภาพรวมการจัดสอบเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ทั้งนี้ ได้กำชับให้สนามสอบต่าง ๆ ว่าต้องไม่มีการทุจริตและไม่มีข้อสงสัยจากเด็กและผู้ปกครอง ส่วนที่หลายฝ่ายเกรงว่าการที่ สทศ. ดำเนินการจัดทดสอบต่าง ๆ ติดต่อกันจำนวนมากอาจจะทำให้เด็กเกิดความเครียดนั้น ส่วนตัวเห็นว่าน่าจะเป็นผลดีเพราะเท่ากับว่าเด็กจะได้เตรียมตัวอ่านหนังสือเพียงครั้งเดียวแต่สามารถนำความรู้ไปสอบหลาย ๆ อย่างได้เลย และเท่าที่พูดคุยกับนักเรียนที่มาสอบนั้น เด็กก็บอกว่าข้อสอบไม่ยากเกินไป และตนเชื่อว่าการสอบครั้งนี้จะช่วยแก้ปัญหาเรื่องที่เด็กต้องวิ่งรอกสอบเป็นเหตุทำให้สิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายในการสอบรับตรงได้ ขณะเดียวกันมหาวิทยาลัยจะสามารถคัดเด็กได้ตรงตามที่ต้องการ
      
       อย่างไรก็ตาม ตนเห็นว่าในอนาคตนั้นน่าจะต้องมีการปรับระบบการสอบรับตรงเพื่อให้เป็นไปตามความต้องการของเด็กและมหาวิทยาลัยมากขึ้น ซึ่งที่ผ่านมาได้มีการหารือระหว่าง ศธ.โดยสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) สำนักงานคณะงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ. ) และมหาวิทยาลัยทั้งหมด รวมทั้งสภาคณบดีคณะต่าง ๆ เพื่อช่วยปรับหลักสูตรระดับมัธยมศึกษา เป็นหลักสูตรมัธยมเชิงปฏิบัติการ 7 กลุ่มอาชีพโดยมีมหาวิทยาลัยมาร่วมจัดทำหลักสูตรเพราะทั้งสองระดับการศึกษาต้องเชื่อมโยงกัน ได้แก่ กลุ่มเกษตรกรรม กลุ่มอุตสาหกรรม กลุ่มบริหารจัดการและสังคม กลุ่มความคิดสร้างสรรค์ กลุ่มวิทยาศาสตร์เพื่อชีวิต กลุ่มอาหาร และกลุ่มวิจัยนวัตกรรมและการถ่ายทอดองค์ความรู้ ดังนั้น ในอนาคตการสอบเข้ามหาวิทยาลัยก็ควรต้องมีการปรับระบบให้สอดคล้องกัน โดยเฉพาะข้อสอบรับตรงนั้นจะต้องเปลี่ยนจากการสอบวิชาสามัญ 7 วิชา เป็น 7 กลุ่มอาชีพ เพื่อช่วยให้การส่งต่อเด็กเข้าสู่มหาวิทยาลัยมีความสมบูรณ์ขึ้น โดยจะพยายามเร่งรัดให้หลักสูตร 7 กลุ่มอาชีพให้เสร็จก่อนเดือนพฤษภาคม 2555 
      
       “ได้มอบสภาคณบดีของมหาวิทยาลัยออกข้อสอบคัดเลือกเข้าเรียนต่อในสาขาของตัวเองดัวย และต่อไปในอนาคตจะนำข้อสอบดังกล่าวมาใช้ในการรับตรง ทำให้เด็กสอบครั้งเดียวแต่สามารถนำคะแนนไปยื่นตามมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ได้ ไม่ต้องวิ่งสอบหลายที่ ซึ่งตรงนี้ผมคาดว่ามหาวิทยาลัยต่าง ๆ จะเห็นด้วยแต่ และในอนาคตคาดหวังว่าการสอบตรงรูปแบบใหม่นี้จะสามารถผสมผสานกับระบบกลางการคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษาต่อในสถาบันอุดมศึกษาด้วยระบบกลางการรับนิสิตนักศึกษาหรือแอดมิสชั่นส์กลาง ออกมาเป็นระบบการคัดเลือกใหม่ที่มีความเหมาะสมให้แต่ละคณะ/สาขาได้เด็กตรงตามต้องการขณะที่เด็กเองไม่ต้องวิ่งสอบหลายแห่ง ส่วนระบบสอบตรงตามสาขาอาชีพนี้จะเริ่มใช้ได้เมื่อไหร่นั้น ขึ้นอยู่กับว่า แต่ละสาขาวิชาจะสามรถผลักดันหลักสูตรใหม่ออกมาเร็วขนาดไหน หากเริ่มต้นได้ตั้งแต่ปีการศึกษา 2555 ก็คาดว่าจะสามารถใช้ในการรับตรงในปีการศึกษา 2556 ได้เลย”นายวรวัจน์ กล่าว
      
       ด้าน รศ.ดร.สัมพันธุ์ กล่าวว่า การจัดสอบวิชาสามัญ 7 วิชาครั้งแรกนี้ ภาพรวมจำนวนผู้มีสิทธิ์สอบแยกตามรายวิชา ดังนี้ ภาษาอังกฤษ 146,263 คน สังคมศึกษา 145,620 คน ภาษาไทย 145,619 คน คณิตศาสตร์ 136,979 คน ชีววิทยา 96,876 คน ฟิสิกส์ 95,798 คน เคมี 95,609 คน โดยมีศูนย์สอบทั้งสิ้น 8 ศูนย์ มีสนามสอบ 113 สนาม ใน 37 จังหวัด ทั้งนี้จะมีการประกาศผลสอบในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2555
      
       สำหรับสนามสอบโรงเรียนวัดสุทธิวราราม ได้จัดสอบ จำนวน 4 รายวิชา โดยวันนี้มีผู้เข้าสอบที่มีอายุมากที่สุด 53 ปี ซึ่งจากการสอบถามพบว่า เป็นผู้ปกครองที่มาเข้าสอบเพราะต้องการนำประสบการณ์การสอบไปสอนลูกหลาน ส่วนผู้เข้าสอบที่มีอายุ 23 ปี ขึ้นไป ซึ่งเทียบอายุแล้วเท่ากับผู้ที่เรียนจบปริญญาตรีแล้ว โดยส่วนตัวมองว่า เป็นเรื่องดี ที่ประชาชนทั่วไปสนใจสอบ เป็นการให้โอกาสคน ทั้งนี้อาจแบ่งได้เป็น 3 กลุ่ม คือ 1. กลุ่มคนที่ต้องการสอบเข้ามหาวิทยาลัยใหม่อีกครั้ง เช่น ต้องการสอบเรียนแพทย์อีกครั้ง ซึ่ง กสพท. กำหนดให้ต้องสอบวิชาสามัญ 2. กลุ่มผู้ปกครอง ครู ที่ต้องการมาลองข้อสอบ และ 3. กลุ่มโรงเรียนกวดวิชา
      
       รศ.ดร.สัมพันธ์ กล่าวด้วยว่า สำหรับมาตรการรักษาความปลอดภัยเพื่อป้องกันการทุจริตการสอบนั้น สทศ. ใช้มาตรการเดียวกับการสอบ GAT/PAT แต่มีการกำชับศูนย์สอบ และสนามสอบ เพิ่มเติม 3 เรื่องคือ 1. สทศ.ใช้สายรัดกล่องข้อสอบ เพื่อรักษาความปลอดภัยของกล่องข้อสอบให้มากขึ้น โดยสายรัดจะมีตราโลโก้ของ สทศ.โดยเฉพาะ และการเปิดกล่องข้อสอบจะต้องมีพยาน ซึ่งเป็นมาตรการใหม่ในปีนี้ 2.ในแต่ละห้องสอบ กำหนดให้กรรมการคุมสอบ 2 คน คนแรกคุมหน้าห้อง คนที่สอง คุมหลังห้อง จากเดิมไม่ได้กำหนดไว้ 3. กำหนดพื้นที่การจัดโต๊ะสอบให้มีความเหมาะสม โดยเฉพาะแต่ละห้องกำหนดให้สอบห้องละ 30 คน ส่วนโต๊ะเก้าอี้ที่เหลือ ขอให้ย้ายไปวางไว้นอกห้องเรียน

Credit   Manager.co.th and Unigang.com