Saturday, October 29, 2011

คราเคน ตำนานที่มีจริง

คราเคนหมึกยักษ์ตัวใหญ่มาก
วันนี้ผมได้รับมอบหมายให้เขียนบทความอีกแล้ว ผมนึกไม่ค่อยออกเลยครับว่าจะเขียนอะไรให้มันตรงกับคอนเซ็ปท์เว็บประหลาดมีสาระแบบนี้ เขียนอะไรแอดมินก็ชอบมาแบนตลอด หัวข้อมีสาระนี่ยากสำหรับผมเกินไป เอาเป็นเรื่องประหลาดยังพอไหว ถ้าใครสงสัยว่าทำไมผมถึงชอบเขียนเรื่องสัตว์ประหลาด ก็เป็นเพราะเหตุผลนี้แหละครับ งั้นวันนี้ผมขอนำเสนอเรื่อง “คราเคน” ก็แล้วกันนะ
คราเคน(Kraken) คือ สัตว์ประหลาดในตำนาน เล่ากันว่ามันมีรูปร่างคล้ายหมึกกระดองขนาดใหญ่มาก มีลำตัวยาวกว่าเสากระโดงเรือ หนวดเยอะยาวยุ่บยั่บ สามารถพันโอบเรือลำใหญ่ได้หลายรอบ มันใช้หนวดที่มีปุ่มดูดขนาดใหญ่โอบรัดคนบนเรือแล้วบีบจนกระดูกแหลกเหลว ก่อนที่จะเอาใส่ปากกลมๆ ขนาดใหญ่ที่มีเขี้ยวคมเหมือนใบมีดเรียงอยู่เต็ม
ตำนานของคราเคนเริ่มต้นขึ้นเมื่อใดไม่ทราบแน่ชัด แต่มีบันทึกเป็นหลักฐานครั้งแรกที่นอร์เวย์ ในหนังสือชื่อ “The Natural History of Norway” นักเดินเรือโดยเฉพาะแถบซีกโลกเหนือหวาดกลัวสัตว์ประหลาดชนิดนี้มาก เพราะในหนังสือบรรยายไว้ว่ามันตัวใหญ่เท่าเกาะขนาดย่อม เฉพาะตัวก็ยาวกว่าครึ่งไมล์ แถมยังปรากฏตัวแบบเงียบเชียบ กว่าจะรู้ตัวหนวดของมันก็เข้าโจมตีเรียบร้อยแล้ว และจมเรือได้ในเวลาเพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น
ในบรรดาสัตว์ประหลาดใต้ท้องทะเลทั้งหมดเท่าที่เคยมีมา คราเคนมีเค้าความจริงมากที่สุด เพราะมีหมึกสายพันธุ์หนึ่ง คือ อาร์คิเทอูธิส(Architeuthis) หรือเรียกง่ายๆ ว่าหมึกยักษ์(Giant Squid) อยู่บนโลกนี้จริง แม้มันจะไม่ได้ตัวใหญ่เท่าเกาะแบบในตำนาน แต่ก็ถือว่าตัวใหญ่มาก มีขนาดพอๆ กับรถประจำทาง หนวดยาว 30-40 เมตร มีปากที่มีฟันคมเป็นจะงอยเหมือนนกแก้ว มีนัยน์ตาขนาดฟุตครึ่ง น้ำหนักรวม 2-3 ตัน สามารถกินคนได้สบายๆ และมันยังมีนิสัยดุร้ายตามธรรมชาติอีกด้วย เพียงแต่ไม่ค่อยมีใครเจอตัวมันบ่อยนัก
จากบันทึกการเผชิญหน้ากับหมึกยักษ์หรือคราเคนแม้จะไม่บ่อยมากแต่ก็นับว่าหลายครั้งอยู่เหมือนกัน
ปี 1878 วันที่ 2 พฤศจิกายน ชาวประมงสามคนในทิมเบิล ทริกเกิล พบซากปลาหมึกขนาดใหญ่อยู่ไม่ห่างจากฝั่งขณะกำลังหาปลา พวกเขาพยายามลากมันเข้าขึ้นฝั่ง แต่ปรากฏว่าหนวดบางส่วนยังคงมีชีวิตเคลื่อนไหวได้อยู่ จึงปล่อยให้มันแห้งตายอยู่บนบกจนแน่ใจว่าไม่เป็นอันตรายแล้วก็ทำการวัดขนาดของมัน ความยาวตลอดตัววัดได้ 20 ฟุต หนวดเส้นที่ยาวที่สุดยาวถึง 35 ฟุต มีเขี้ยวแหลมคมที่ยาวถึง 4 นิ้ว
ปี 1930 เรือบรรทุกน้ำมันขนาด 15,000 ตัน ของนอร์เวย์รายงานการโจมตีของปลาหมึกขนาดใหญ่ถึงสามครั้ง โดยครั้งที่รุนแรงที่สุดแจ้งว่ามันว่ายน้ำตามเรือแล้วพยายามใช้หนวดรัดรอบๆ เรือ แต่ใบพัดฟันหนวดและลำตัว จึงลื่นไหลหนีไป คาดว่าเหตุผลที่มันโจมตีเรือเพราะเรือมีรูปร่างคล้ายปลาวาฬเสปิร์มคู่ปรับของมันนั่นเอง
ปี 1960 เดือนตุลาคม พนักงานของประภาคารแห่งหนึ่งในแอฟริกาใต้สองคน เห็นปลาหมึกและปลาวาฬเสปิร์มต่อสู้กันอย่างสยดสยองกับตา พวกเขารายงานว่าปลาหมึกยักษ์เป็นฝ่ายเข้าโจมตีปลาวาฬ การต่อสู้ดำเนินไปกว่าครึ่งชั่วโมง และจบลงด้วยชัยชนะของปลาหมึกยักษ์
ปี 1965 ลูกเรือล่าปลาวาฬของโซเวียต เห็นปลาหมึกยักษ์ต่อสู้อยู่กับปลาวาฬที่โตเต็มที่ ซึ่งมีขนาดกว่า 40 ตัน ผลคือไม่มีฝ่ายใดชนะ ปลาวาฬตายเพราะแรงรัดของหนวดปลาหมึก ส่วนหัวของปลาหมึกยักษ์ก็ถูกกัดขาดหายไปในท้องปลาวาฬ
เหตุการณ์ที่น่าตกใจที่สุดเกี่ยวกับคราเคนหรือเจ้าหมึกยักษ์เกิดขึ้นเมื่อสงครามโลกครั้งที่สอง ที่มัลดีฟ หมึกยักษ์จมเรือขนาดย่อมของอังกฤษไปสองลำ แล้วจับทหารเรือกินหมด (เรื่องนี้เกิดขึ้นจริงด้วยนะครับ)
ความลึกลับและโหดร้ายของหมึกยักษ์ ทำให้มีการจัดตั้งคณะนักวิทยาศาสตร์เพื่อศึกษาเรื่องของมันอย่างจริงจัง เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 1999 หลังจากกลุ่มนักวิทยาศาสตร์จากสหรัฐฯ และนิวซีแลนด์ทำการวิจัยหมึกยักษ์เป็นเวลา 30 วัน ก็ได้บทสรุปออกมาว่า พวกมันชอบอยู่ในน้ำลึกบริเวณที่มีอุณภูมิต่ำมากๆ และมันชอบไหลไปตามกระแสน้ำ สาเหตุที่ทำให้มันดุร้ายคือ เมื่อมันเกิดไหลไปเจอกระแสน้ำอุ่น การดำรงชีพของมันจะขัดข้อง และจำเป็นต้องลอยอยู่ที่ผิวน้ำเป็นเวลานาน ทำให้เกิดความเครียด สังเกตได้จากบริเวณที่มีผู้พบเห็นหมึกยักษ์โจมตี มักเป็นบริเวณที่กระแสน้ำเย็นและกระแสน้ำอุ่นมาตัดกัน ซึ่งเป็นบริเวณที่หมึกยักษ์หงุดหงิดเพราะปรับตัวไม่ทันนั่นเอง
จบแล้วครับหมึกยักษ์คราเคน คราวหน้าผมจะเอาตัวประหลาดอื่นๆ มาฝากด้วยครับ รอติดตามนะครับ

โลฟครับ
ใครว่างก็แวะไปอ่านที่เว็บนี้ได้นะคะ บทความเยี่ยมยอดทั้งนั้นค่ะ
ขอบคุณที่รับชมค่ะ^^~

 



Credit :  Indepencil.com

William Barley

William Barley (1565?–1614) was an English bookseller and publisher.[1] He completed an apprenticeship as a draper in 1587, but was soon working in the London book trade. As a freeman of the Drapers' Company, he was embroiled in a dispute between it and the Stationers' Company over the rights of drapers to function as publishers and booksellers. He found himself in legal tangles throughout his life.
Barley's role in Elizabethan music publishing has proved to be a contentious issue among scholars.[2] The assessments of him range from "a man of energy, determination, and ambition",[3] to "somewhat remarkable",[4] to "surely to some extent a rather nefarious figure".[5] His contemporaries harshly criticized the quality of two of the first works of music that he published, but he was also influential in his field. After becoming the assignee of the composer and publisher Thomas Morley, Barley publishedAnthony Holborne's Pavans, Galliards, Almains (1599), the first work of music for instruments rather than voices to be printed in England. His partnership with Morley enabled him to claim a right to the music publishing patent that Morley held prior to his death in 1602. Some publishers ignored his claim, however, and many music books printed during his later life gave him no recognition.

ชีวิตคนถูกรางวัลที่ 1

ตามติดชีวิตคนถูกรางวัลที่ 1 พวกเขาเป็นอย่างไรในรอบหลายปี หลายคนเงินหมดเกลี้ยงในเวลาอันสั้น แต่อีกไม่น้อยจัดการเป็นจนลากยาวมาได้จนถึงวันนี้
อาจจะเพราะวัฒนธรรมการเสี่ยงโชคที่เข้มข้นกว่า ทำให้แต่ละงวดที่ออกมา รางวัลใหญ่มักไปตกอยู่ในมือชาวภูธร ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเกษตรกรและคนหาเช้ากินค่ำ บางคนค่อนขอดพวกเขาว่าใช้เงินไม่เป็น แต่บุคคลต่อไปนี้ แม้จะไม่ติดอันดับ "นักจัดการเงินมืออาชีพ" ในโพลล์ไหนๆ แต่พวกเขากลับจัดการเงินล้านที่ได้มาอย่างเรียบง่ายและมีสติ
 
อยู่ดีๆ มี 20 ล้าน
2 ปีที่แล้ว บุญสนอง แก้วบ่อ กลายเป็นเศรษฐีชั่วข้ามคืนหลังถูกล็อตเตอรี่รางวัลที่  1และรางวัลแจ็คพ็อตได้เงินรวมถึง 20 ล้านบาท ชายวัย  52 ปีจากบ้านโคกสี ต.โคกสี อ.เมืองขอนแก่น เดิมมีอาชีพทำการเกษตรทั้งไร่ นา สวนและค้าขายของชำภายในหมู่บ้าน ควบคู่ไปกับการเรียนระดับปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย วิทยาเขตขอนแก่น งานส่วนรวมเจริญก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ แต่งานส่วนตัวกลับขาดทุน ทยอยขายที่ไร่ที่นา เป็นหนี้สินมากมาย แต่ในที่สุด บุญสนองก็กัดฟันเรียนจนจบ และเดินทางเข้ากรุงเทพฯ ไปรับปริญญา ขากลับแวะไหว้พระที่ ต.ศาลายา อ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม ตบท้ายด้วยการเสี่ยงเซียมซี ได้เลข 75-76  เมื่อมีคนตาบอดเดินมาขายลอตเตอรี่ บุญสนองบอกแค่เลขท้ายไป คนขายก็ยื่นมาให้สองคู่ 414875, 414876 ซึ่งใบแรกคือ รางวัลที่ 1 ในงวดถัดมา เท่านั้นยังไม่พอ ลอตเตอรี่ใบอื่นที่ซื้อมาก็ยังไปคว้ารางวัลแจกพอตอีก 16 ล้านบาท รวมๆ กันแล้ว 20 ล้านบาทขาดตัว
  วันนั้น เพื่อนแห่กันมาทั้งหมู่บ้าน ข้าวของเครื่องใช้ที่ซื้อมาไว้ขายกว่า 3 แสนบาท ถูกขอไปจนหมดเกลี้ยง "
จากนั้นก็มีญาติพี่น้องและคนแปลกหน้าเข้ามาหาขอยืมเงินจำนวนมาก แจกให้ญาติไปก็เยอะ ให้คนยืมไปลงทุนก็มีบ้าง แต่ผมก็เอาเงินไปใช้หนี้สินที่กู้ยืมมาจนหมด กับเก็บฝากธนาคารเอาไว้กินดอกเบี้ย บางส่วนก็นำมาลงทุนกับการเกษตร และช่วยเหลือเด็กด้อยโอกาส"   ขณะนี้ ครอบครัวแก้วบ่อสบายขึ้นมาก บุญสนองก็ได้เรียนต่อปริญญาโท และใกล้จะจบแล้ว และเมื่อ 2 สิงหาคม ที่ผ่านมา เขาก็ลงสมัครรับเลือกตั้ง นายกองค์การบริหารส่วนตำบลโคกสี ก็ได้รับชัยชนะ ลูกบ้านเทคะแนนให้อย่างท่วมท้น แม้บางเสียงจะบอกว่า ถูกเลือกเพราะความรวยและคนรวยไม่น่าจะทุจริต  "จากกุศลผลบุญที่ทำดีเพื่อชุมชนมาโดยตลอดทำให้เชื่อว่า ทำดีต้องได้ดีขอเพียงชีวิตเราอย่าท้อ สู้เข้าไว้" เศรษฐีล็อตเตอรี่ บอก
ทุกข์มาเพราะความดัง 
เพราะซื้อสลากกินแบ่งไว้สองใบตามเลขทะเบียนรถของพ่อ จากข้าราชการธรรมดาๆ คนหนึ่งที่ถูกหนี้มะรุมมะตุ้ม ก็หายกลุ้มเป็นปลิดทิ้ง  เป็นชีวิตจริงของ อัจฉรา พลสิทธิ์ เจ้าพนักงานศาลยุติธรรมประจำศาลจังหวัดเดชอุดม อุบลราชธานี อายุ 32 ปี ที่ 3 ปีที่แล้ว ถูกรางวัลที่ 1 จำนวน 1 ใบ ได้เงินรางวัลจำนวน  4,000,000 บาท  สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น อัจฉราบอกว่ามีทั้งสุขและทุกข์ สุขคือคนแห่แสดงความยินดี ส่วนทุกข์คือ "ความดัง" ที่มาพร้อมกับการขอความช่วยเหลือทุกรูปแบบ เธอก็สงเคราะห์ไปบ้าง
 "มีอยู่รายหนึ่งเป็นนักโทษชายอยู่ที่เรือนจำทางภาคเหนือทราบข่าวจากหนังสือพิมพ์ได้เขียนจดหมายมาขอความช่วยเหลือว่าญาติ พี่น้องฐานะยากจนขอเงินมาเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในเรือนจำก็ได้ส่งธนาณัติไปให้" 
 กับตัวเองและครอบครัว สิ่งแรกที่ทำคือ ใช้หนี้ที่มีอยู่จนหมด จากนั้นเอาเงินมาสร้างบ้าน จัดสรรเงินส่วนหนึ่งให้กับญาติพี่น้องกับบุคคลที่เคยช่วยเหลือ ทำบุญ และเปิดบัญชีเงินฝากประจำให้ลูก 2 คน ชีวิตทั่วไป อัจฉราบอกว่าเป็นไปอย่างเรียบง่ายเหมือนปกติ และไม่ฟุ่มเฟือย "ทุกวันนี้มีความสุขแล้ว ไม่เป็นหนี้เป็นสินใคร ครอบครัวอบอุ่น ทำงานอย่างมีความสุข" ชีวิตคนเราคงไม่ต้องการอะไรไปมากกว่านี้แล้ว
ทำงานหนัก ปลูกผักกิน
หลังจากคู่ทุกข์คู่ยากล้มป่วยด้วยโรคหัวใจ พ่อค้าขายผักในตลาดสดบ้านทุ่ง ต.ในเวียง อ.เมือง จ.แพร่ สามีอย่าง อนันต์ จำปาหอม จึงขาดคนช่วยปลูกและช่วยมัดจัดหีบห่อ จำต้องหันเหชีวิตไปเป็นคนรับจ้างขนของในตลาดแทน  กับล้อเข็น 1 คัน เริ่มงานตั้งแต่ตี 1 แลกกับค่าแรงวันละ 200-300 บาท อาจจะพอเลี้ยงครอบครัวได้ไปวันๆ และอาจเป็นเช่นนั้นไปตลอดชีวิต ถ้าวันนั้น 16 เมษายน พ.ศ.2548 เขาไม่เสี่ยงดวงซื้อหวยเลข 119327 และได้เงินรางวัลที่ 1 มา 4 ล้านบาท 
"ผมเอาไปฝากธนาคารเอาไว้ก่อน แล้วค่อยถอนออกมาไปซื้อรถปิกอัพคันใหม่ หกแสนกว่าบาท แทนคันเก่าที่เก่าเต็มที" อนันต์ วัย49 แจกแจงรายรับรายจ่าย  
ไม่ต้องพูดถึงความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ภรรยาที่ป่วยด้วยโรคหัวใจได้รับการรักษาจนกลับมาช่วยงานได้อีกครั้ง แต่คราวนี้เปลี่ยนมาเป็นงานเบาๆ อย่างขายขนม ขายเส้นก๋วยเตี๋ยว ในตลาดแห่งเดิม เริ่มงานตีสอง กว่าจะได้กลับไปนอนก็ 9 โมงเช้า เป็นอย่างนี้ทุกวัน ถึงจะมีเงินล้านไว้กอดอุ่นๆ แต่อนันต์และภรรยาก็ยังไปต้องไปทำงาน และ ปลูกผักไว้กินเอง  
"ชีวิตเหมือนเดิม เปลี่ยนแปลงน้อยมาก แค่เปลี่ยนรถคันใหม่ ผมก็ยังตื่นเข้า ขับรถไปส่งของ เสร็จก็กลับบ้านนอน เงินเก็บไว้บางส่วนสำหรับใช้ในช่วงที่ทำงานไม่ไหว แล้วก็เก็บไว้ให้ลูกชายคนเดียว ใช้เงินทีก็ระมัดระวัง ปลูกผักในบ้านไม่ต้องซื้อเขากิน"
ถามถึงการลงทุนเพิ่มเติม ทำให้เงินงอกเงย?  เจ้าตัวส่ายหน้า ก่อนจะอธิบายว่า เกินความสามารถของตัวเอง และที่สำคัญ...
"ผมคิดว่าครอบครัวมีทุกอย่าง ไม่ต้องการสิ่งไหนอีกแล้ว"  

าวนาเนื้อหอม  
ในปี 2547 ยุคที่หวยบนดินกำลังเฟื่องฟู  ปัน ศรีจอมแจ้ง ชาวนาวัย 59 ปี  ใน อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ เป็นหนึ่งในคนไทยที่เจียดรายได้อันน้อยนิดซื้อหวยเป็นประจำทุกงวด ไม่เคยขาดตกบกพร่อง หวังว่าสักวันจะโชคดีกับเขาบ้าง
 แต่ไม่รู้ว่าทำบุญมาด้วยอะไร วันที่ 1 กรกฎาคม 2547 ลุงปันพกดวงมาเต็มกระเป๋า ถูกรางวัลแจ็กพอตจากหวยบนดินใบละ 20 บาท คว้าเงินรางวัล 25 ล้านบาท  ไปนอนกอดสบายใจ  
หลังชีวิตพลิกผันเพียงข้ามคืน จากชาวนายากจนกลายเป็นเศรษฐี  เรื่องราว มากมายประดังเข้าหาลุงปันอย่างที่ตัวเองไม่เคยคาดคิด แต่ละวันบ้านหลังน้อยที่เคยเงียบเหงากลับคลาคล่ำไปด้วยผู้คน ทั้งที่รู้จักและแปลกหน้า ต่างแวะเวียนมาแสดงความยินดีแฝงด้วยความหวังอย่างลึกๆ       ส่วนบุรุษไปรษณีย์ที่แทบไม่รู้จักบ้านของลุงปัน กลับต้องแวะเวียนนำจดหมายจากทั่วสารทิศมาส่งให้ลุงปันวันละหลายรอบ และจดหมายเหล่านี้ เขียนมาพรรณนาถึงความทุกข์ยาก อยากให้ช่วยปลดหนี้ ช่วยค่ารักษาพยาบาล ขอทุนตั้งตัว ขอค่าเทอม ฯลฯ
แต่ที่เด็ดที่สุดคือจดหมายจากสาวน้อยสาวใหญ่  รวมถึงสาวแก่แม่หม้ายจากทั่วประเทศ ที่เขียนมาบรรยายสรรพคุณพร้อมแนบภาพถ่าย  ขอสมัครเป็น "แม่บ้าน" รวมแล้วไม่น้อยกว่าร้อยฉบับ
...ที่สุดแล้วจดหมายทั้งหมดไม่ถูกตอบกลับแม้แต่ฉบับเดียว   
ล่วงเลยมาแล้วกว่า 5 ปี  ลุงปันพิสูจน์ให้คนอื่นๆ เห็นแล้วว่า คำว่า "สามล้อถูกหวย" ใช้ไม่ได้กับเขา เพราะเขายืนยันว่าถึงจะร่ำรวย แต่ก็ใช้จ่ายอย่างรู้คุณค่ามาโดยตลอด    ลุงปัน แจงการบริหารการเงินตามแบบฉบับชาวนาว่า เงิน 25 ล้านบาท ถูกนำไปใช้หนี้ ธกส. 30,000 บาท ซื้อที่ดินและสร้างบ้านหลังใหม่ทดแทนหลังเก่า 2,000,000  บาท แบ่งให้ลูก 3 คน คนละ 5,000,000 บาท ให้ไปทำทุนค้าขายและเป็นทุนการศึกษาให้หลาน นอกจากนี้ ลุงปันยังแปลงสินทรัพย์เป็นทุนด้วยการซื้อที่นา 4 ไร่ สวนอีกกว่า  20 ไร่ ในหมู่บ้าน พร้อมควักเงินอีก 600,000 บาท ซื้อรถกระบะใช้ขนผลิตผลทางการเกษตรไปขาย ที่เหลือฝากธนาคารเก็บกินดอกเบี้ย     ด้วยวัยและฐานะที่เอื้อต่อการนอนตีพุงสบายๆ แต่ลุงปันยังคงยึดอาชีพกระดูกสันหลังของชาติเหมือนเดิม ต่างก็แต่เขามีความสุขกับการใช้ชีวิตชาวนามากขึ้น เพราะได้ทำนาทำไร่ในที่ของตัวเอง จากเดิมที่ต้องรับจ้างทำนาในที่ดินของคนอื่น 
"กิเลสเป็นสิ่งที่มนุษย์น้อยคนจะหลีกเลี่ยงได้ หลายคนมีมากก็ใช้มาก ใช้กันเพลินจนไม่เหลือ ผมเองก็มีกิเลส แต่โชคดีที่เป็นความอยากได้อยากมีในสิ่งที่จำเป็นกับการดำรงชีวิต ไม่ใช่อยากได้ในความฟุ่มเฟือย ความสุขที่แท้จริงของผมคือความพอเพียง"       
แม้จะร่ำรวยเงินทอง แต่ภารกิจประจำวันของเศรษฐีแจ็กพอตรายนี้ยังเหมือนเดิม ทุกเช้าถึงบ่ายลุงปันจะขลุกตัวในท้องนาท้องไร่ ก่อนที่จะกลับมาพักผ่อนและสนทนากับเพื่อนบ้านในช่วงบ่าย ก่อนจะปั่นจักรยานคู่ใจไปตามถนนในหมู่บ้านตอนแดดร่มลมตก
"มีความสุขทุกครั้งที่มองเห็นทุ่งนา มันเป็นความรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก" 
แม้จะเพียบพร้อมไปด้วยสิ่งที่ต้องการ แต่ลุงปันยอมรับว่า ทุกวันนี้ยังต้องเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์อยู่เป็นประจำ เพราะยังคงมีโทรมาขอความช่วยเหลือบ่อยครั้ง  เมื่อถามว่าวันนี้เงิน 25 ล้านบาท เหลืออยู่เท่าไหร่ กลับมีเพียงรอยยิ้มบนใบหน้ากร้านแดดของชาวนาคนนี้เป็นคำตอบ
'ความลับ' หลักล้าน  
เป็นคนหนึ่งซึ่งนานๆ ทีจะเสี่ยงโชคสักครั้ง และซื้อทีก็ไม่มากมาย แค่ "ครึ่งใบ" ในราคาแค่ 20 บาทเพราะทุนทรัพย์ไม่เอื้อ  แต่ สุพัตรา (สงวนนามสกุล) ก็ยังอุตส่าห์ถูก ได้เงินมา 3 ล้านบาท เมื่อ 7 ปีก่อน
คุณแม่ลูกสองเป็นแม่ค้าขายผลไม้ในจังหวัดเชียงราย ขณะนั้นสามีเสียไปนานแล้ว ตัวเธอเองก็ติดเชื้อเอดส์มาจากสามี ค้าขายผลไม้ก็ไม่ได้เงินมากมายอะไร แค่พอเลี้ยงตัว ไม่เหลือพอสำหรับการรักษาตัวเอง  
"ท้อใจ ชีวิตมันแย่มาก แต่พอได้เงินก้อนนี้มาก ถือว่าโชคดีมาก เหมือนได้ชีวิตใหม่ มีกำลังใจในการมีชีวิตอยู่ขึ้นมาอีกครั้ง" 
ต่างจากคนอื่น พอรู้ว่าตัวเองถูกรางวัล สุพัตรากลับเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ ไม่บอกใครนอกจากลูกและคนสนิทจริงๆ เพราะไม่รู้ว่าถ้าบอกไปจะมีอะไรตามมาบ้าง หลังจากขึ้นเงิน เธอแบ่งฝากธนาคารประจำให้ลูกคนละ 1 ล้านในอัตราดอกเบี้ยพิเศษ เหลือมาเอาไปซ่อมบ้านอีกประมาณ 4 แสนบาท แล้วเอาไปเปิดร้านขายของชำเล็กๆ อีกแสนกว่าบาท แต่เปิดได้เพียงปีกว่าๆ ก็ต้องปิดตัวลง เพราะขายไม่ดี ประกอบกับลูกย้ายที่ไปเรียนอีกจังหวัด แม่ก็เลยแพคกระเป๋าตามไปด้วย
"เงินฝากของลูก เขาต้องอายุครบ 25 ปีก่อนถึงจะเบิกได้ ถึงตอนนั้นคิดว่าตัวเองคงไม่มีชีวิตอยู่แล้ว บอกเขาเสมอว่า เงินก็เหมือนชีวิตแม่ ถ้าเงินหมด ชีวิตแม่ก็หมด"    
สุพัตราคิดเสมอว่าเงินที่ได้มาคือวาสนา และไม่ควรใช้ของมีค่าโดยประมาท ทุกวันนี้สุพัตรายังทำงานหาเช้ากินค่ำด้วยการไปเป็นแม่บ้านในบริษัทเอกชน รับเงินเดือนประมาณ 6,000 บาท 
"กินใช้ก้อนนี้ค่ะ มีเหลือเก็บด้วย เพราะไม่ฟุ่มเฟือย อยู่แบบที่เราเคยอยู่ ไม่ค่อยซื้อไม่ค่อยเที่ยว ลูกๆ เองเวลาอยากได้อะไรเขาก็หาของเขา เราสอนเสมอว่า อยากได้อะไรต้องทำมาหากินเอง อย่ายืมจมูกคนอื่นหายใจ" นานๆ ที แม่ลูกถึงจะออกไปหาของอร่อยนอกบ้านทานกัน ส่วนการรักษาตัวเอง สุพัตราใช้สิทธิประกันสังคม ที่พักบริษัทจัดให้ ทุกวันนี้สุพัตรามีเงินฝากส่วนตัวไว้ให้อุ่นใจประมาณ 4 แสนซึ่งเธอไม่พยายามไปยุ่งกับเงินก้อนนี้ 
"ต้องทำเป็นตัวอย่างให้ลูกเห็น ถ้าเราใช้ ลูกก็ใช้" น้ำเสียงที่ยังสดใสของสุพัตรา
6 ล้าน 'ทุกขลาภ'
ในบรรดาคนที่ได้ลาภ แล้วเป็นทุกข์ คงไม่มีรายไหนหนักหนาสาหัสเท่ากับรายของ ศิษย์ กิจพฤกษ์ วัย 71 ปี ชาวบ้านหัน ต.กุดเค้า อ.มัญจาคีรี จ.ขอนแก่น16 พฤษภาคม พ.ศ.2547 เขาถูกล็อตเตอรี่รางวัลที่ 1 และรางวัลข้างเคียงได้เงินมา  6,138,000 บาท แต่เมื่อนำลอตเตอรี่ไปขึ้นเงิน กลับถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับเนื่องจาก น.ส.รสรินทร์ ศักดิ์ดาราโรจน์ อายุ 22 ปี เจ้าของร้านขายล็อตเตอรี่ในตำบล ไปแจ้งความให้ดำเนินคดีในข้อหาวิ่งราวสลากกินแบ่งรัฐบาล จนเป็นเรื่องขึ้นโรงขึ้นศาล
ระยะเวลาผ่านมา 5 ปีแล้ว เงิน 6.1 ล้านบาทเศษยังนอนนิ่งอยู่ในธนาคาร ไม่มีใครได้ใช้ และแม้ว่าที่ผ่านมา ศาลชั้นต้นจะยกฟ้องในคดีที่ น.ส.รสรินทร์ แจ้งความดำเนินคดีกับนายศิษย์ แต่ทางโจทก์ได้ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์อีก และนัดตัดสินคดีในวันที่ 8 กันยายน 2552  และครั้งนี้น่าจะเป็นวันชี้ขาดคดีว่า เงินที่มีอยู่นั้นจะมีใครได้ใช้หรือไม่ หรือจะต้องสู้กันถึงศาลฎีกา เนื่องจากฝ่ายโจทก์เองมองว่าตัวเองน่าจะเป็นเจ้าของเงินอย่างแท้จริงที่ผ่านมาหลายฝ่ายยังสงสัยอยู่ว่า ทำไมเจ้าของร้านจึงไม่โวยวายและแจ้งตำรวจให้จับตั้งแต่วันแรกที่ล็อตเตอรี่หายไป แต่ทำไมเพิ่งมาโวยวายในวันที่รู้ว่าล็อตเตอรี่ถูกรางวัลที่ 1 

จาก

กินถั่วดีต่อสุขภาพ




อาหารว่างที่ดีต่อสุขภาพอย่างหนึ่ง คือ ถั่วชนิดต่างๆ ไม่เช่นนั้นแล้ว ทางโภชนาการคงไม่แนะนำให้กินถั่ววันละหนึ่งกำมือเพื่อลดความเสี่ยงปัญหาสุขภาพ สำหรับสรรพคุณเด่นๆ ของถั่วเป็นอย่างไรบ้างนั้น เกร็ดความรู้มีมาบอก
   
เริ่มจากประโยชน์ในการรักษารูปร่าง คนกินอัลมอนด์ วอลนัท แม็กคาเดเมีย บราซิลนัท พีแคน และเม็ดมะม่วงหิมพานต์ เป็นประจำจะมีรูปร่างที่ผอมกว่าคนที่ไม่กิน เนื่องจากมีใยอาหาร อีกทั้งสารอาหารหลายชนิดในถั่วช่วยลดการดูดซึมไขมัน ทั้งยังทำให้รู้สึกอิ่มท้อง
   
ถั่วยังมีคุณค่าในการลดคอเลสเตอรอล ด้วยถั่วอัลมอนด์ ที่กินแล้วจะช่วยลดไขมันตัวร้าย และเพิ่มไขมันตัวดี  ส่วนพีแคน เพียงกินวันละหนึ่งกำมือ ช่วยลดคอเลสเตอรอลได้ ร้อยละ 11.3
   
ส่วนสรรพคุณต้านมะเร็ง อยากได้ต้องกินถั่ว วอลนัท พีแคน และบราซิลนัท เนื่องจากมีสารในการชะลอการเติบโตของเซลล์มะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งปอดและต่อมลูกหมาก และมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ สาเหตุการเกิดมะเร็ง
   
การกินถั่วลิสง และวอลนัท ยังสามารถป้องกันโรคหัวใจ เพราะสารอาหารในถั่วดังกล่าว ช่วยลดปริมาณไขมันตัวร้าย ซึ่งหากมีไขมันชนิดนี้อยู่มากจะเสี่ยงภาวะไขมันอุดตันเส้นเลือด และภาวะหลอดเลือดแข็ง นอกจากนี้ในผู้ที่มีสุขภาพแข็งแรงดี หากกินถั่วเป็นประจำจะช่วยลดโอกาสเสียชีวิตจากโรคหัวใจได้ร้อยละ 50 เมื่อเทียบกับคนไม่กินถั่ว
   
นอกจากนี้ ถั่วลิสง และวอลนัท ช่วยลดเสี่ยงโรคเบาหวาน และดีต่อผู้ป่วยโรคเบาหวานอยู่แล้ว เนื่องจากช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและอินซูลิน
   
ดีต่อสุขภาพ ป้องกันโรคได้อย่างนี้ กินถั่วแทนขนมขบเคี้ยวรสหวานกันดีกว่า.
ทีมเดลินิวส์ออนไลน์

Thursday, October 27, 2011

12 วิธีทําให้ผิวขาว บอกลาผิวหม่นหมองกันเลย..


12 วิธีทําให้ผิวขาว บอกลาผิวหม่นหมองกันเลย... 

            1. การขัดผิว เป็น วิธีทําให้ผิวขาว ที่ขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกไปจากผิว โดยการใช้สครับที่มีขายตามท้องตลาด หรือจะเป็นสครับจากธรรมชาติง่าย ๆ แต่ได้ผล ซึ่งมีหลากหลายสูตรให้เลือก ได้แก่ มะละกอ นมสด มะขามเปียก น้ำผึ้ง โยเกิร์ต มะนาว  โดยนำอย่างใดอย่างหนึ่งมาผสมกับเกลือทะเลเพื่อให้มีเม็ดสำหรับขัดผิว เพียงเท่านี้คุณก็มีสครับขัดผิวได้ง่าย ๆ แล้ว หรือจะใช้ใยบวบในการช่วยขัดผิวก็ได้ การขัดผิวนี้จะช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่าให้หลุดลอกออกไป แล้วเผยผิวใหม่ที่แน่นอนว่าต้องสว่างใสกว่าเดิม และควรทำสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง เพื่อการปรนนิบัติและดูแลผิวอย่างต่อเนื่อง

           
 2. เอเอชเอ หรือกรดผลไม้ มีขายทั่วไปตามคลินิกเสริมความงามหรือร้านขายยาทั่วไป ใช้สำหรับทาบนใบหน้าสัปดาห์ละ 2 ครั้งเพื่อกระตุ้นให้เซลล์ผิวเก่าหลุดลอกออกมา เป็น วิธีทําให้ผิวขาว เผยผิวใหม่ที่ขาวผ่อง แต่การใช้เอเอชเอนี้ ต้องดูแลและระวังเรื่องการออกแดด เพราะผิวคุณจะบางลงและไวต่อแดดมากกว่าเดิม

           
 3. น้ำนมเพื่อผิวขาว ไม่จำเป็นต้องลงไปแช่ในอ่างที่มีน้ำนมอยู่เต็มอ่าง แต่คุณสามารถทำตาม วิธีทําให้ผิวขาว ได้ง่าย ๆ ด้วยการใช้น้ำนมทาบนผิวโดยตรง อาจใช้ใยบวบช่วยเพื่อขัดผิวไปด้วยเบา ๆ ทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที ทำสัปดาห์ละ 2 ครั้ง ผิวจะค่อย ๆ ขาวขึ้น

           
 4. ผลไม้รสเปรี้ยว ช่วยในการขัดขี้ไคล เป็น วิธีทําให้ผิวขาว ขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ โดยใช้ผลไม้รสเปรี้ยว เช่น มะนาว สับปะรด มะขามเปียก ส้ม เพราะมีความเป็นกรด ช่วยทำความสะอาดผิวให้ขาวใส และกำจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดลอกออกมาได้ แต่หากคุณเป็นคนผิวบาง ไม่ควรใช้มะนาวหรือสับปะรดที่มีความเป็นกรดสูง ควรใช้ส้มเช้งที่มีคุณสมบัติคล้าย ๆ กันก็ได้

           
 5. ครีมบำรุงเพื่อผิวขาว ควรใช้ครีมบำรุงที่มีไวท์เทนนิ่งเพื่อผิวขาวในตอนเย็น และทาซ้ำก่อนนอนเพื่อเสริมประสิทธิภาพของครีมบำรุงให้บำรุงอย่างต่อเนื่อง ส่วนตอนกลางวันให้ทาไวท์เทนนิ่งเพียงบาง ๆ แล้วตามด้วยครีมกันแดด หรือจะใช้ไวท์เทนนิ่งที่มีส่วนผสมของสารป้องกันแสงแดดก็ได้ แต่หากสาว ๆ คนไหน อยู่ติดบ้าน ไม่ได้ออกไปเผชิญแสงแดดเลย ใช้ไวท์เทนนิ่งตัวเดียว ทาวันละ 2-3 ครั้งก็เอาอยู่แล้วจ้า

           
 6. ครีมกันแดด ควรเป็นสิ่งที่สาว ๆ ต้องมีติดกระเป๋าอยู่ตลอดเวลา ในกรณีที่คุณต้องเผชิญกับแสงแดดจัดโดยไม่ได้วางแผนมาก่อนจะได้หยิบขึ้นมาใช้ได้ทันการทันเวลา และอย่าลืมว่า ครีมกันแดดจำเป็นอย่างยิ่ง ถ้าหากคุณเพิ่งขัดผิวหรือใช้เอเอชเอกับผิวมาหมาด ๆ เพราะผิวคุณจะไวต่อแดดมาก จึงควรทาครีมกันแดด 20 นาทีก่อนออกแดดทุกครั้ง และทาซ้ำอีกทุก ๆ 2-3 ชั่วโมง

           
 7. ทานอาหารให้เหมาะสม โดยให้มีผักและผลไม้ในอัตราส่วนครึ่งต่อครึ่งทุกมื้อ เพราะผักผลไม้เป็นอาหารที่ย่อยง่าย ช่วยเรื่องของการขับถ่าย และยังมีแอนตี้อ็อกซิแดนซ์ที่ทำให้ผิวสวยกระชับอีกด้วย ซึ่งเมื่อร่างกายขับถ่ายตามปกติแล้ว หน้าตาผิวพรรณก็จะสดใสขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

           
 8. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพราะการออกกำลังกายจะช่วยขับเหงื่อไคล และสิ่งสกปรกใต้ผิวรวมถึงสารพิษออกมา ซึ่งจะทำให้ผิวดูสว่างสดใสขึ้น ยิ่งออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง ก็ยิ่งทำให้ผิวสดใสอยู่ตลอดเวลา แถมการออกกำลังกายยังช่วยลดการอุดตันของสิ่งสกปรกใต้ผิว ทำให้ไม่มีสิวอีกด้วย

           
 9. วิตามินซีเพื่อผิวสวย วิตามินซีมีสรรพคุณช่วยให้ผิวสวยสดใส ดังนั้นจึงเป็นสารอาหารที่ร่างกายควรได้รับอยู่เสมอ ไม่ว่าจะจากการทานผักผลไม้ เช่น ส้ม ฝรั่ง มะนาว หรือหากได้รับในแต่ละวันไม่เพียงพอ ก็อาจจะทานวิตามินแบบเม็ดที่ขายในร้านขายยาก็ได้ วิธีทําให้ผิวขาว นี้จะช่วยในเรื่องผิวและมีส่วนช่วยในเรื่องการขับถ่ายไปพร้อม ๆ กัน

           
 10. การอบไอน้ำผิวหน้า เป็นการทำความสะอาดสิ่งสกปรกที่อุดตันอยู่ในรูขุมขนอย่างลึกซึ้ง ช่วยทั้งเรื่องของผิวสะอาดสว่างใส เป็นทั้ง วิธีทําให้ผิวขาว และช่วยขจัดสิวไปพร้อม ๆ กัน โดยวิธีอบไอน้ำผิวหน้านั้นก็ทำได้ง่าย ๆ เพียงตั้งกะทะต้มน้ำจนเดือด จากนั้นน้ำกะทะมาวางบนโต๊ะแล้วยื่นหน้าให้อยู่เหนือไอน้ำ ความร้อนจะช่วยเปิดรูขุมขน และไอน้ำจะเข้าไปทำความสะอาดสิ่งสกปรกที่อุดตันรูขุมขนค่ะ

           
 11. เมคอัพช่วยได้ ใช้ครีมรองพื้นและแป้งที่สว่างกว่าผิวจริง 1 ระดับสี และหลังจากแต่งหน้าแล้วให้นำพู่กันแตะแป้งกลิตเตอร์ประกายมุกปัดบริเวณหน้าผากและโหนกแก้ม ก็จะช่วยให้หน้าดูสว่างใสขึ้นได้เยอะเลยทีเดียว

           
 12. สารพัดสูตรพอกหน้า นอกจากการขัดผิวแล้ว สาว ๆ ที่อยากมีผิวขาวสุขภาพดีควรพอกหน้า รวมถึงผิวกายให้ได้สัปดาห์ละ 2 ครั้ง โดยสูตรผิวขาวที่สามารถทำเองได้จากวัตถุดิบในบ้านนั้นก็มีมากมาย ที่สำคัญยังเห็นผลชัดอีกด้วยหากทำอย่างต่อเนื่อง และสูตร วิธีทําให้ผิวขาว ที่หยิบยกมาฝากกัน มีดังนี้

           วิธีทําให้ผิวขาว : สูตรมะละกอนมสด นำมะละกอมาบดผสมกับนมสด คนให้เข้ากัน จากนั้นนำไปพอกบนใบหน้าหรือผิวกายทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที แล้วล้างออก

           วิธีทําให้ผิวขาว : โยเกิร์ตผสมมะนาว มะนาวเป็นผลไม้อีกชนิดหนึ่งที่มีความเป็นกรดสูงมาก จนอาจทำให้แสบผิวได้ ดังนั้นการนำมะนาวมาผสมโยเกิร์ตแล้วนำไปทาผิวทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที จะช่วยลดการระคายเคืองผิว และมะนาวจะช่วยขจัดเซลล์ผิวเก่า เผยผิวใหม่ที่ใสกว่าเดิม 

           
วิธีทําให้ผิวขาว : น้ำมันมะพร้าวเพื่อผิวเนียนนุ่ม เป็นสูตรโบราณที่ใช้ได้ผลมาก น้ำมันมะพร้าวจะช่วยในเรื่องการทำให้ผิวเนียนนุ่มชุ่มชื้น แม้เพียงครั้งแรกที่ได้นำน้ำมันมะพร้าวมาทาผิว รับรองได้เลยว่า สาว ๆ จะรู้สึกถึงความเนียนนุ่มได้ทันทีเลยล่ะ

           วิธีทําให้ผิวขาว : น้ำผึ้งและโยเกิร์ต นำส่วนผสมดังกล่าวพอกลงบนใบหน้าหรือผิวกายประมาณ 30 นาทีก่อนล้างออก ช่วยให้ผิวขาวและนุ่มขึ้นได้ สามารถทำได้วันเว้นวันค่ะ

           วิธีทําให้ผิวขาว : กล้วยหอมและนมสด นำมาบดผสมกัน จากนั้นนำไปพอกผิวในบริเวณที่ต้องการ จะทำให้ผิวขาวเนียนสวยได้ สามารถทำได้วันเว้นวันเช่นกัน

วิธีเรียนภาษาอังกฤษให้เก่ง วิธีเรียนภาษาอังกฤษ เก่งภาษาอังกฤษ 1


วิธีเรียนภาษาอังกฤษให้เก่ง วิธีเก่งภาษาอังกฤษ นั้นเป็นอีดเรื่องนึงที่หลายๆ คนอยากรู้มากๆ สงสัยกันบ้างมั้ยว่า แอ๊ะทำไมเพื่อเราคนนี้ มันเก่งภาษาอังกฤษจัง มันก็คนไทเหมือนเรา โอ้ย อิจฉา วันนี้ทาง Eazy.com เลยขอนำเสนอบทความวิธีเรียนภาษาอังกฤษให้เก่ง เอาหละถ้าพร้อมที่จะเรียนภาษาอังกฤษให้เก่ง ก็ลุยกันเลย
การเรียนรู้ภาษาอังกฤษ เราจะต้องมี Passion หรือ ความรู้สึกที่ดีกับสิ่งนี้ หากคุณไม่ทราบว่าอะไรคือ Passion หรือ ความรู้สึกที่ดี คืออะไร ลองย้อนกลับไปมองสิ่งต่างๆ ที่คุณเคยอยากได้ อยากมีสิครับ ยกตัวอย่างเช่น คุณอยากได้เสื้อผ้าดีๆ สวยๆ กระเป๋ายี่ห้อดังๆ หรือ แม้แต่ตอนที่คุณจีบแฟนคุณ เหล่านี้เกิดขึ้นเพราะคุณมี Passion ซึ่งทำให้คุณทุ่มเทพละกำลัง ความตั้งใจ ความพยายามให้ได้มันมา เพราะรู้ว่า มันมีค่ากับคุณแน่นอน ภาษาอังกฤษก็เช่นเดียวกัน สิ่งแรกที่คุณต้องมีคือ Passion หรือ ความรู้สึกที่ดีต่อภาษาอังกฤษ ซึ่งเราต้องคิดต่อว่า แล้วเราจำเป็นต้องรู้ หรือ มีภาษาอังกฤษไว้ทำไม คำตอบคิอ ต้องมีครับ (Must have) เพราะในปัจจุบันนี้ทุกอย่างในชีวิตประจำวันเราคือ ภาษาอังกฤษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเรียนและการ ทำงาน อันจะนำมาซึ่งความก้าวหน้าในทุกๆ ด้าน
ในปัจจุบันนี้ การรู้ภาษาอังกฤษไม่ใช่เป็นเรื่องของความสามารถพิเศษแล้ว ลองจินตนาการการสอบสัมภาษณ์เข้าทำงานของบริษัท เมื่อคุณตอบคำถามว่า คุณทราบภาษาอังกฤษ ผู้ที่สัมภาษณ์คุณไม่ได้มองว่าคุณมีความสามารถที่โดดเด่นไปจากคนอื่นเลย บางบริษัทที่มีชื่อเสียง ยังบังคับให้คุณไปสอบภาษาอังกฤษกับการสอบที่มาตรฐาน เช่น TOEIC, TOELF, IELS ตลอดจน CU-TEP, TU-GET แล้วนำคะแนนสอบที่ผ่านตามเกณฑ์มาร่วมพิจารณากับคุณสมบัติอื่นๆ ส่วนการสอบเข้าเรียนในระดับต่างๆ แทบไม่ต้องกล่าวถึง ต้องใช้คะแนนภาษาอังกฤษมาเป็นเกณฑ์ หรือ แทบจะเป็นตัววัดตัวสุดท้ายในการตัดสินในการเข้าศึกษา
ยิ่งกล่าวไปทำ ให้เครียด จนมีความรู้สึกที่ไม่ดีต่อภาษาอังกฤษ เราลองย้อนกลับมาพิจารณา แล้วจะทำอย่างไรให้เก่งภาษาอังกฤษ ผมคิดว่าคงไม่มีกฎเกณฑ์ใดตายตัว หากแต่จะเป็นเรื่องของการแนะนำส่วนตัว แต่ท้ายที่สุดต้องขึ้นกับผู้ที่ศึกษาเองว่ามี Passion แล้วทุ่มเทกับภาษาอังกฤษ แค่ไหน ดังนั้นผมขอแนะนำวิธีการเรียนรู้ที่สามารถนำเอาไปใช้ นะครับ
หากแยกประเภทการเรียนภาษาอังกฤษ ผมขอแบ่งออกเป็น 5 ประเภทหลัก คือ
1. ไวยากรณ์ (Grammar)
2. ศัพท์ (Vocabulary)
3. การอ่าน (Reading)
4. การเขียน (Writing)
5. การฟัง (Listening)
6. การพูด (Speaking)
1. ไวยากรณ์ (Grammar)
ไวยากรณ์ หรือ ภาษาอังกฤษ เรียกว่า Grammar ถือว่าเป็นไม้เบื่อไม้เมากับคนไทยเรามาเป็นเวลาหลายสิบปี การเรียนรู้ภาษาอังกฤษขึ้นต้นของผู้เรียน ก็เริ่มจากการเรียนไวยากรณ์ ซึ่งใช้เวลาเกือบสิบปี เรียนกันตั้งแต่เด็กไปถึงผู้ใหญ่ ก็ยังไม่จบ เลยทำให้มีคำถามตามมาว่า ทำไมต้องเรียน เรียนแล้วก็ยังพูดภาษาอังกฤษไม่ได้
จริง แล้วการเรียนรู้ไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ เป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะทำให้ทราบถึงรูปแบบของภาษาในการเรียงถ้อยร้อยคำที่ถูกต้อง เพื่อนำไปใช้ในการสื่อสารให้เข้าใจระหว่างกัน การเรียนไวยากรณ์ต้องใช้ความอดทนในการทำความเข้าใจและจดจำ กฎ และข้อยกเว้นต่างๆ (ซึ่งข้อยกเว้นต่างๆ มักจะนำไปออกข้อสอบ) อีกทั้งต้องคอยสังเกตรูปแบบ
การเรียนไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ แทบจะไม่มีอะไรมาก นอกเสียจากลองไปหาหนังสือไวยากรณ์ดีๆ สักเล่ม ลองเลือกเล่มที่ไม่ต้องหนามาก เอาขนาดกลางๆ ก็พอ แล้วค่อยๆ ศึกษา ทบทวน กอปรนึกถึงตอนเคยได้รับการเรียนรู้มาแล้ว จากนั้นทำแบบฝึกหัด หากคุณไม่สามารถบังคับตัวคุณให้ทำอย่างนี้ได้ ลองเดินไปเรียนพิเศษ หรือติวหลักไวยากรณ์ เพื่อจะได้เรียนรู้หลักการจำ การทำความเข้าใจภาษาอังกฤษ ซึ่งอาจจะทำให้คุณเข้าใจไวยกรณ์ภาษาอังกฤษได้ง่ายขึ้น แต่เมื่อเรียนจบแล้ว คุณต้องกลับมาทบทวน ทำความเข้าใจเรื่อยๆ นะครับ มิฉะนั้นแล้ว ทุกอย่างจะกลับไปคืนผู้สอนหมด ทำให้คุณเสียเงินและยังเสียเวลา แล้วไม่ได้อะไรอีก

Wednesday, October 26, 2011

เศรษฐกิจพอเพียง


เศรษฐกิจพอเพียง เป็นปรัชญาที่ชี้แนวทางการดำรงชีวิต ที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมีพระราชดำรัสแก่ชาวไทยนับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2517 เป็นต้นมา และถูกพูดถึงอย่างชัดเจนในวันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2540 เพื่อเป็นแนวทางการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประเทศไทย ให้สามารถดำรงอยู่ได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนในกระแสโลกาภิวัตน์และความเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ
เศรษฐกิจพอเพียงมีบทบาทต่อการกำหนดอุดมการณ์การพัฒนาของประเทศ โดยปัญญาชนในสังคมไทยหลายท่านได้ร่วมแสดงความคิดเห็น อย่างเช่น ศ.นพ.ประเวศ วะสีศ.เสน่ห์ จามริกศ.อภิชัย พันธเสน, และศ.ฉัตรทิพย์ นาถสุภา โดยเชื่อมโยงแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงเข้ากับวัฒนธรรมชุมชน ซึ่งเคยถูกเสนอมาก่อนหน้าโดยองค์กรพัฒนาเอกชนจำนวนหนึ่งนับตั้งแต่พุทธทศวรรษ 2520 และได้ช่วยให้แนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในสังคมไทย
สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้เชิญผู้ทรงคุณวุฒิในทางเศรษฐกิจและสาขาอื่น ๆ มาร่วมกันประมวลและกลั่นกรองพระราชดำรัสเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อบรรจุในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 9 และได้จัดทำเป็นบทความเรื่อง "ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง" และได้นำความกราบบังคลทูลพระกรุณาขอพระราชทานพระบรมราชวินิจฉัย เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2542 โดยทรงพระกรุณาปรับปรุงแก้ไขพระราชทานและทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้นำบทความที่ทรงแก้ไขแล้วไปเผยแพร่ เพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนประชาชนโดยทั่วไป เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2542
ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงนี้ได้รับการเชิดชูเป็นอย่างสูงจากองค์การสหประชาชาติ ว่าเป็นปรัชญาที่มีประโยชน์ต่อประเทศไทยและนานาประเทศ และสนับสนุนให้ประเทศสมาชิกยึดเป็นแนวทางสู่การพัฒนาแบบยั่งยืนโดยมีนักวิชาการและนักเศรษฐศาสตร์หลายคนเห็นด้วยกับแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง แต่ในขณะเดียวกัน บางสื่อได้มีการตั้งคำถามถึงการยกย่องขององค์การสหประชาชาติ รวมทั้งความน่าเชื่อถือของรายงานศึกษาและท่าทีขององค์การ


แนวคิด

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ได้พัฒนาหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อที่จะให้พสกนิกรชาวไทยได้เข้าถึงทางสายกลางของชีวิตและเพื่อคงไว้ซึ่งทฤษฏีของการพัฒนาที่ยั่งยืน ทฤษฎีนี้เป็นพื้นฐานของการดำรงชีวิตซึ่งอยู่ระหว่าง สังคมระดับท้องถิ่นและตลอดระดับสากล จุดเด่นของแนวปรัชญานี้คือ แนวทางที่สมดุล โดยชาติสามารถทันสมัย และก้าวสู่ความเป็นสากลได้ โดยปราศจากการต่อต้านกระแสโลกาภิวัฒน์ และการอยู่รวมกันของทุกคนในสังคม
หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมีความสำคัญในช่วงปี พ.ศ. 2540 ซึ่งเป็นช่วงที่ประเทศไทย ต้องประสบปัญหาภาวะทางเศรษฐกิจ และ ต้องการรักษาความมั่นคงและเสถียรภาพ เพื่อที่จะยืนหยัดในการไม่พึ่งพาผู้อื่น และ พัฒนานโยบายที่สำคัญเพื่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำริว่า มันไม่ได้มีความจำเป็นที่เราจะกลายเป็นประเทศอุตสาหกรรมใหม่ พระองค์ได้ทรงอธิบายว่า ความพอเพียงและการพึ่งตนเอง คือ ทางสายกลางที่จะป้องกันการเปลี่ยนแปลงความไม่มั่นคงของประเทศได้
เศรษฐกิจพอเพียงเชื่อว่าจะสามารถปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางสังคมของชมชุนให้ดีขึ้นโดยมีปัจจัย 2 อย่างคือ
  1. การผลิตจะต้องมีความสัมพันธ์กันระหว่าง ปริมาณผลผลิตและการบริโภค
  2. ชุมชนจะต้องมีความสามารถในการจัดการทรัพยากรของตนเอง
ผลที่เกิดขึ้นคือ
  • เศรษฐกิจพอเพียงสามารถที่จะคงไว้ซึ่งขนาดของประชากรที่ได้สัดส่วน
  • ใช้เทคโนโลยีได้อย่างเหมาะสม
  • รักษาสมดุลของระบบนิเวศ และปราศจากการแทรกแซงจากปัจจัยภายนอก

หลักปรัชญา

เศรษฐกิจพอเพียงเป็นปรัชญาที่ยึดหลักทางสายกลาง ที่ชี้แนวทางการดำรงอยู่และปฏิบัติของประชาชนในทุกระดับให้ดำเนินไปในทางสายกลาง มีความพอเพียง และมีความพร้อมที่จะจัดการต่อผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลง ซึ่งจะต้องอาศัยความรอบรู้ รอบคอบ และระมัดระวัง ในการวางแผนและดำเนินการทุกขั้นตอน ทั้งนี้ เศรษฐกิจพอเพียงเป็นการดำเนินชีวิตอย่างสมดุลและยั่งยืน เพื่อให้สามารถอยู่ได้แม้ในโลกโลกาภิวัตน์ที่มีการแข่งขันสูง







ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงที่ทรงปรับปรุงพระราชทานเป็นที่มาของนิยาม "3 ห่วง 2 เงื่อนไข" ที่คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอเพียง สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ นำมาใช้ในการรณรงค์เผยแพร่ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงผ่านช่องทางสื่อต่าง ๆ อยู่ในปัจจุบัน ซึ่งประกอบด้วยความ "พอประมาณ มีเหตุผล มีภูมิคุ้มกัน" บนเงื่อนไข "ความรู้" และ "คุณธรรม"
ดร.จิรายุ อิศรางกูร ณ อยุธยา ประธานคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจพอเพียง อธิบายถึงการพัฒนาตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง ว่า เป็นการพัฒนาที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของทางสายกลางและความไม่ประมาท โดยคำนึงถึง ความพอประมาณ ความมีเหตุผล และการสร้างภูมิคุ้มกันที่ดีในตัวตลอดจนการใช้ความรู้ ความรอบคอบละคุณธรรมประกอบการวางแผน การตัดสินใจและการกระทำต่างๆ ความพอประมาณ หมายถึง ความพอดี ที่ไม่มากและไม่น้อยจนเกินไป ไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น เช่น การผลิตและการบริโภคที่พอประมาณ ความมีเหตุผล หมายถึง การใช้หลักเหตุผลในการตัดสินใจเรื่องต่างๆ โดยพิจารณาจากเหตุปัจจัยที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนผลที่คาดว่าจะเกิดขึ้นอย่างรอบคอบ การมีภูมิคุ้มกันที่ดี หมายถึง การเตรียมตัวให้พร้อมรับต่อผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงรอบตัว ปัจจัยเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้นั้น จะต้องอาศัยความรู้ และคุณธรรม เป็นเงื่อนไขพื้นฐาน กล่าวคือ เงื่อนไขความรู้ หมายถึง ความรอบรู้ ความรอบคอบ และความระมัดระวังในการดำเนินชีวิตและการประกอบการงาน ส่วนเงื่อนไขคุณธรรม คือ การยึดถือคุณธรรมต่างๆ อาทิ ความซื่อสัตย์สุจริต ความอดทน ความเพียร การมุ่งต่อประโยชน์ส่วนรวมและการแบ่งปัน ฯลฯ ตลอดเวลาที่ประยุกต์ใช้ปรัชญา
อภิชัย พันธเสน ผู้อำนวยการสถาบันการจัดการเพื่อชนบทและสังคม ได้จัดแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงว่าเป็น "ข้อเสนอในการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจตามแนวทางของพุทธธรรมอย่างแท้จริง" ทั้งนี้เนื่องจากในพระราชดำรัสหนึ่ง ได้ให้คำอธิบายถึง เศรษฐกิจพอเพียง ว่า "คือความพอประมาณ ซื่อตรง ไม่โลภมาก และต้องไม่เบียดเบียนผู้อื่น"
ระบบเศรษฐกิจพอเพียงมุ่งเน้นให้บุคคลสามารถประกอบอาชีพได้อย่างยั่งยืน และใช้จ่ายเงินให้ได้มาอย่างพอเพียงและประหยัด ตามกำลังของเงินของบุคคลนั้น โดยปราศจากการกู้หนี้ยืมสิน และถ้ามีเงินเหลือ ก็แบ่งเก็บออมไว้บางส่วน ช่วยเหลือผู้อื่นบางส่วน และอาจจะใช้จ่ายมาเพื่อปัจจัยเสริมอีกบางส่วน สาเหตุที่แนวทางการดำรงชีวิตอย่างพอเพียง ได้ถูกกล่าวถึงอย่างกว้างขวางในขณะนี้ เพราะสภาพการดำรงชีวิตของสังคมทุนนิยมในปัจจุบันได้ถูกปลูกฝัง สร้าง หรือกระตุ้น ให้เกิดการใช้จ่ายอย่างเกินตัว ในเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องหรือเกินกว่าปัจจัยในการดำรงชีวิต เช่น การบริโภคเกินตัว ความบันเทิงหลากหลายรูปแบบ ความสวยความงาม การแต่งตัวตามแฟชั่น การพนันหรือเสี่ยงโชค เป็นต้น จนทำให้ไม่มีเงินเพียงพอเพื่อตอบสนองความต้องการเหล่านั้น ส่งผลให้เกิดการกู้หนี้ยืมสิน เกิดเป็นวัฏจักรที่บุคคลหนึ่งไม่สามารถหลุดออกมาได้ ถ้าไม่เปลี่ยนแนวทางในการดำรงชีวิต
ซึ่ง ดร. สุเมธ ตันติเวชกุล ได้กล่าวว่า "หลาย ๆ คนกลับมาใช้ชีวิตอย่างคนจน ซึ่งเป็นการปรับตัวเข้าสู่คุณภาพ" และ "การลงมือทำด้วยความมีเหตุมีผล เป็นคุณค่าของเศรษฐกิจพอเพียง"


วิธีทำน้ำยาล้างจาน


อุปกรณ์และวิธีการทำน้ำยาล้างจาน
1.N70หรือหัวเชื้อ   1 กิโลกรัม
2.F24หรือสารขจัดไขมัน  ครึ่งกิโลกรัม ถ้าไม่มีไม่ต้องก็ได้ครับ
3.เกลือ ประมาณ ครึ่งกิโลกรัม ถึง1กิโลกรัม หรือ บางที่เรียกว่าผงข้น
4.น้ำผลไม้รสเปรี้ยว (ที่โรงเรียนทำใช้มะกรูดต้มกับน้ำ)ประมาณ 4 ลิตร
5.น้ำสะอาด ประมาณ7 ลิตร อันนี้แล้วแต่ความข้นครับหากยังข้นก็เติมได้อีกแต่ถ้ามากไปก็ใช้ไม่ได้บางที่ใช้น้ำขี้เถ้าผสมด้วย แต่ไม่มีก้ไม่ต้องครับ
วิธีทำ
เทN70กับF24ลงในภาชนะกวนไปในทิศทางเดียวกันให้เข้ากันจนเป็นครีมขาวๆจากนั้นเติมน้ำผลไม้ลงไปกวนไปเรื่อยๆหากไม่ข้นก็ค่อยๆเติมเกลือทีละน้อยสังเกตุดูหากข้นมากก็เติมน้ำลงไปสลับกันจนน้ำหมดทิ้งใว้ 1 คืนจนฟองยุบแล้วตักใส่ภาชนะใว้ใช้ ต้นทุนประมาณ 140 บาท ครับ ส่วนปริมาณที่ได้ก็ขึ้นอยู่กับว่าใช้น้ำไปเท่าใด
อย่าคนแรงเพราะจะทำให้มีฟองเกิดมาก
N70คือสารลดแรงตึงผิวประจุลบ มีหน้าที่เป็นสารทำความสะอาดต่างๆมีชื่อเต็มๆว่าTexapon N70 มีชื่อทางเคมีว่า Sodium Laurylether Sulfate N70(โชเดียมลอริวอีเทอร์ซัลเฟตN70)มีชื่อย่อๆว่าSLES
ส่วนF24คือสารขจัดไขมันหรือLAS(linearalkylbenZene Sulfonate)
 จะใช้น้ำมะกรูดหรือมะนาวหมักก็ได้ครับใส่ 4 ลิตร
*วิธีทำน้ำมะกรูดหรือมะนาวหมัก
หั่นมะกรูดหรือมะนาว 4 กิโลกรัม เป็นสองซีก ใส่น้ำตาล 1 กิโลครึ่ง น้ำ10 ลิตร หมัก 30วัน กรองเอาแต่น้ำมาใช้

Tom Yum Kung

Tom Yum Kung


Ingredients
๐  Tom Yum Soup250            g.
๐  70% cooked shrimps
     (21-25 shrimps per kilogram)
     (2 shelled shrimp)
2                 pieces
๐  finely sliced lemongrass15               g.
๐  torn leech lime leaves
    (each leaf torn into 4 pieces without center stem)
1                  leave
๐  whole hot chili3              
๐  halved and boild straw muchrooms
    Coriander leaves
25               g.
    ** Method : See Tom Yum Soup recipe 
  
  
  

Instructions
1.  Boil the soup then add the lemongrass.
2.  Add muchrooms, shrimps, torn leech lime leaves and hot chilli.
3.  Dip into serving dish top with coriander leaves.